เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
คณะอนุกรรมาธิการเพื่อพิจารณาศึกษาเกี่ยวกับเศรษฐกิจมหภาคและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
สภาผู้แทนราษฎรได้จัดการสัมมนา ความเสี่ยงโครงการการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐ
: บทเรียนในอดีตและผลกระทบในอนาคต
เมื่อวันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิมากมาย
อาทิ คุณพรรณี สถาวโรดม
ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ดร.นิตินัย
ศิริสมรรถการ ที่ปรึกษาศูนย์ยุทธศาสตร์การงบประมาณ
สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี รองศาสตราจารย์
ดร.ต่อตระกูล ยมนาค
อดีต ประธานคณะทำงานติดตามศึกษาการทุจริตและปฎิบัติธรรมาภิบาล
สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบัน เป็นนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย
ในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานกรรมการกองทุนสื่อประชาสังคมต้านคอร์รัปชั่น
ผมในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการผู้จัดงานสัมผัสได้ถึงความห่วงใยของผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกท่าน
ถึงผลกระทบมากมายที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการขนาดยักษ์ดังกล่าว
ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ
ความเสี่ยงในการระดมทุน
รวมทั้ง
ความเสี่ยงในการคอร์รัปชั่นที่อาจสูงถึง
40 %
จากยอดเงิน
1.77
ล้านบาท
หรือเท่ากับเงินทั้งสิ้น
6.8
แสนล้านบาท
ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าว
รศ.
ดร.ต่อตระกูลได้กล่าวว่าสามารถที่จะเป็นต้นทุนทางการเมืองให้รัฐบาลได้อยู่ในตำแหน่งได้ยาวนานถึง
136
สมัย
หากคูณ
4เข้าไปจะเท่ากับ
544 ปี
เลยทีเดียว
เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
ในการสัมมนาครั้งนี้ผมได้เสนอแนวทางป้องกันปัญหาความเสี่ยงที่สำคัญไว้ 6
ประการ อันได้แก่
1. รัฐบาลต้องประเมินความเสี่ยงอย่างสมจริง
แล้วนำกลับมาเสนอต่อประชาชนอีกครั้ง
เนื่องจากไม่สามารถใช้สมมติฐานทางเศรษฐกิจแบบเดิมได้ในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน
ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์เดิม
รวมทั้งรัฐบาลได้กำหนดนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจระยะสั้นที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจมหภาค
จะส่งผลกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ และอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน
ดังนั้นจึงควรมีการทบทวนสมมติฐานและวิเคราะห์ผลกระทบเสียใหม่
2. รัฐบาลควรรับฟังความเห็นจากรอบด้าน
ดังตัวอย่าง โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง
ที่มีการเรียกร้องจากประชาชนในพื้นที่ย่านเตาปูน ให้เปลี่ยนจากรูปแบบรถไฟลอยฟ้า
เป็นรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่รัฐบาลออกมายืนยันว่าจะไม่ปรับเปลี่ยนแผนการก่อสร้าง
รวมทั้ง โครงการชลประทานระบบท่อ ซึ่งประชาชนในพื้นที่อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการต่อท่อเข้ามาในพื้นที่ของตน
รวมทั้งอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาท่อด้วยแต่รัฐบาลยังคงเดินหน้าโครงการดังกล่าวต่อไป
โดยยังไม่สอบถามความต้องการของประชาชนอย่างรอบคอบก่อน
3.
ไม่ปิดบังข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยง โดยเฉพาะงบลงทุนที่จะมีผลต่อดุลบัญชีเดินสะพัด
รัฐบาลควรเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญอย่างครบถ้วน
แต่ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้เปิดเผยข้อมูลต่าง ๆ อย่างครบถ้วน
เช่น รัฐบาลบอกว่าจะการดำเนินโครงการเมกะโปรเจ็กต์จะทำให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดไม่เกิน
2% ของ GDP
แต่ไม่บอกว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขเฉลี่ย และไม่ได้บอกว่าในปี
2550-2552 จะขาดดุลฯ
เกินกว่า 2% ตามที่รัฐบาลระบุไว้
ปี 2550 ขาดดุล -2.04% ปี 2551 ขาดดุล -3.29% ปี 2552
ขาดดุล -2.15% อีกประเด็นหนึ่ง
รัฐบาลควรเปิดเผยต้นทุนที่ภาครัฐยังต้องจัดสรรงบประมาณเพื่ออุดหนุนต่อไปในอนาคต
เช่น โครงการรถไฟฟ้า ถ้ารัฐบาลจะเก็บค่าโดยสาร 15
บาทตลอดสายตามที่ได้ประกาศเอาไว้นั้น รัฐบาลจะต้องดำเนินการอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ใช้บริการขนส่งมวลชนระบบราง
รัฐบาลควรบอกด้วยว่ารัฐบาลจะต้องอุดหนุนปีละเท่าไร และรัฐบาลจะมีมาตรการจัดเก็บรายได้อย่างไร
เพื่อมาอุดหนุนโครงการนี้
4.
รัฐบาลต้องเร่งศึกษาเพื่อกำหนดรูปแบบโครงการที่ชัดเจน เพราะ
หลายโครงการยังไม่มีรูปแบบโครงการที่ชัดเจน
มีเพียงโครงการรถไฟฟ้า 7 สายเท่านั้น
ที่ค่อนข้างชัดเจนในระดับเบื้องต้น แต่เมกะโปรเจกต์ในสาขาอื่น ๆ
ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร ยังไม่มีการศึกษาความเป็นไปได้
และความคุ้มค่าในการลงทุน ทำให้เกิดคำถามว่า การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่
ภายในเวลา 4-5 ปี โดยที่ยังไม่มีความชัดเจนใด
ๆ เลย จะสามารถดำเนินการได้ทันตามระยะเวลาที่กำหนดได้หรือไม่
? และหากรีบเร่งให้โครงการเสร็จทันตามที่กำหนด
จะดำเนินการรอบคอบหรือไม่ ?
5. รัฐบาลต้องกระจายความเสี่ยง
ซึ่งข้อข้องใจที่เกิดขึ้นคือเหตุใดจึงใช้เงินลงทุนสูงสุดในปี
2551 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาล
และเป็นปีก่อนการเลือกตั้งทั่วไป ทั้งที่สามารถกระจายเงินลงทุนออกไปยังปีอื่น
ๆ ได้ และยังทำให้ไม่เกิดแรงกดดันต่อดุลบัญชีเดินสะพัด
ผลการศึกษาของกระทรวงการคลัง พบว่า ปี 2551
เป็นปีที่ขาดดุลสูงที่สุดในตลอด 5
ปีเช่นกัน ตามที่ผมได้กล่าวไปแล้วรัฐบาลมีแรงจูงใจทางการเมือง
มากกว่าการรักษาผลประโยชน์ของชาติหรือไม่ ?
เหตุใดรัฐจึงไม่กระจายการลงทุนออกไป
ไม่ให้กระจุกในช่วงเวลา 4-5 ปีเท่านั้น ?
ผมคิดว่ารัฐบาลสามารถกระจายความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการได้หลายวิธี
เช่น จัดลำดับความสำคัญและแบ่งการดำเนินโครงการออกเป็นเป็นขั้น ๆ
การให้เอกชนมาร่วมลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ รัฐไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงไว้เองทั้งหมด
6.
รัฐบาลควรที่จะกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาที่สมจริง รัฐบาลเคยยืนยันว่า
หากขาดดุลฯเกิน 2% จีดีพี
จะชะลอหรือเลื่อนโครงการที่สำคัญน้อยออกไป และควบคุมสัดส่วนการนำเข้า
จึงเกิดข้อสงสัยว่า หากโครงการต่าง ๆ ดำเนินการไปแล้ว การชะลอหรือเลื่อนโครงการออกไป
หรือควบคุมการนำเข้าจะเป็นไปได้อย่างไรในภาคปฏิบัติ
รัฐบาลบอกว่าจะดำเนินการจัดลำดับความสำคัญ แต่ยังไม่เห็นว่าได้มีการระบุว่าโครงการใดสำคัญมาก
โครงการใดที่มีความสำคัญน้อยกว่า สามารถเลื่อนออกไปได้ และยังไม่เห็นว่ารัฐบาลได้จัดทำแผนสำรองไว้อย่างไร
ในกรณีที่สถานการณ์ไม่เป็นไปตามแผน หรือมีการเผื่อเหลือเผื่อขาดเท่าไร
หากเกิดการบานปลายของต้นทุน และหากการจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์
ผมคิดว่าแนวทางทั้ง 6
ประการนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่รัฐบาลควรแสดงออกให้เห็นถึงความจริงใจในการทำ
ประโยชน์เพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง
รวมทั้งเป็นการแสดงออกซึ่งความโปร่งใสให้กับประชาชนทั่วประเทศที่กำลังจับตามองดูในสิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่ครับ
|