Go www.kriengsak.com

ประวัติ

ครอบครัว

งานวิชาการ

กิจกรรม

Press

Contact us

ค้นหา

 

ขอคิดอย่างสร้างสรรค์


การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาควรอยู่ในระดับใด?
What level of protection should Intellectual Property Have?

 

22 พฤษภาคม 2550

เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก                                                  

การบังคับใช้สิทธิในการผลิตหรือนำเข้ายาที่ติดสิทธิบัตร (Compulsory license หรือ CL) ของไทยในยาต่อต้านไวรัสเอดส์ (เอฟฟาไวเรนซ์และคาเลตตรา) และยาป้องกันความรุนแรงของโรคเส้นเลือดอุดตันในหัวใจ (พลาวิกซ์) ต่อบริษัทผลิตยาของสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดข้อโต้แย้ง ซึ่งยังหาข้อยุติไม่ได้ในขณะนี้

ด้วยเหตุที่ประเด็นทรัพย์สินทางปัญญามีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยสินค้าที่ถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินทางปัญญา มีมูลค่าสูงถึง 5 – 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณร้อยละ 45 ของรายได้ประชาชาติ) ซึ่งถือได้ว่าสูงกว่ารายได้ประชาชาติของทุกประเทศในโลก

อย่างไรก็ตาม การที่สหรัฐฯ ปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจัง อาจไม่ได้เป็นผลดีต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเสมอไป เนื่องจากการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่ยาวนาน ทำให้เจ้าของสิทธิบัตรได้ประโยชน์จากการผูกขาด แต่ผู้บริโภคต้องรับภาระต้นทุนจากการซื้อสินค้าที่มีสิทธิบัตรในราคาสูง

จากงานศึกษาเรื่อง การเจริญเติบโตและทรัพย์สินทางปัญญา (Growth and Intellectual Property) โดยไมเคิล โบลดริน และเดวิด เลวีน ซึ่งวัดระดับการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาที่เหมาะสมของสังคมสหรัฐฯ และหาความสัมพันธ์ของระดับการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญากับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (Market size) ของสหรัฐฯ พบว่า นโยบายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เหมาะสมควรเปลี่ยนแปลงไปตามขนาดของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจาก ยิ่งเศรษฐกิจหรือตลาดมีขนาดใหญ่ ยิ่งทำให้รายได้จากการผูกขาดเพิ่มสูงขึ้น ระยะเวลาในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาจึงควรลดลงเมื่อตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการขยายตัวมากขึ้น และตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ระยะเวลาการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญายังคงยาวนานเช่นเดิม อีกทั้งยังมีการเรียกร้องให้คุ้มครองยาวนานขึ้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักการที่ควรจะเป็น

ผลการศึกษายังชี้ให้เห็นอีกว่า ระยะเวลาการปกป้องลิขสิทธิ์และสิทธิบัตรในสหรัฐฯ สูงกว่าระดับที่เหมาะสม ทำให้เกิดการผูกขาดอย่างสมบูรณ์ในตลอดระยะเวลาวัฏจักรของสินค้าใหม่

จากการวิเคราะห์จากข้อมูลอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ผ่านมา ผู้ศึกษาเห็นว่าระยะเวลาการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาควรจะลดลงประมาณ 2 เดือนต่อปี เช่น หากเดิมมีการคุ้มครองสิทธิบัตร 2 ปี ระยะเวลาการปกป้องควรจะลดลง 4 เดือน จาก 2 ปี เหลือ 1 ปี 8 เดือน เป็นต้น โดยระยะเวลาที่เหมาะสมในการให้ความคุ้มครองลิขสิทธิ์ คือ 2 ปี และสิทธิบัตรอยู่ที่ระยะเวลาประมาณ 10 ปี

จากงานศึกษาดังกล่าว แม้ไม่ได้ศึกษากรณีประเทศไทยโดยตรง แต่เป็นประโยชน์หากสามารถนำไปปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทประเทศไทย เพื่อที่จะกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมในการคุ้มครองลิขสิทธิ์และสิทธิบัตรของประเทศไทยบนพื้นฐานของเหตุผลและเป็นวิทยาศาสตร์ มากกว่าการกำหนดบนพื้นฐานอารมณ์ความรู้สึกหรือความเคยชิน นอกจากนี้การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาที่เหมาะสมอาจจะต้องปรับเปลี่ยนระยะเวลาการคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับระดับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปด้วย

   

-------------------------------