เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
คณะกรรมการประเมินการดำเนินงานตามโครงการจำนำข้าวเปลือก
ที่แต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ได้เสนอให้ใช้ตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าแทนระบบรับจำนำข้าว
ภายในระยะเวลา
2-5
ปี
ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศและผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก
หลายฝ่ายเห็นว่าข้อเสนอดังกล่าวจะทำให้ราคาข้าวเป็นไปตามกลไกตลาด
และไม่ถูกบิดเบือนโดยการกำหนดราคารับจำนำที่สูงเกินจริง
การบิดเบือนกลไกตลาดทำให้ภาครัฐต้องสูญเสียงบประมาณอุดหนุนราคาข้าวจำนวนมาก
และยังมีช่องโหว่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน
รวมทั้งยังสร้างปัญหาต่อเนื่องแก่ผู้ส่งออกข้าวที่ต้องตั้งราคาขายสูงเกินจริงทำให้ขายในตลาดต่างประเทศได้ยาก
ประเทศไทยควรกำหนดเป้าหมายนโยบายราคาข้าวอย่างไร
โดยปกติ
เป้าหมายของการกำหนดนโยบายราคาข้าวนั้น
อาจจำแนกได้เป็น
3
เป้าหมายหลัก
ประการแรก
คือ
การสร้างประสิทธิภาพในระบบเศรษฐกิจ
ประการต่อมา
การยกระดับรายได้ของเกษตรกร
และประการสุดท้าย
การสร้างความมั่นคงทางอาหารของประเทศ
สำหรับระบบจำนำข้าวถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหาความผันผวนของราคาข้าว
เนื่องจากข้าวมีราคาต่ำในช่วงที่มีผลผลิตข้าวออกมามาก
แต่มีราคาสูงขึ้นในช่วงที่มีผลผลิตออกมาน้อย
เกษตรกรสามารถนำผลผลิตมาจำนำไว้ก่อน
ในช่วงที่ราคาข้าวตกต่ำ
แล้วจึงไถ่ถอนข้าวไปขายในช่วงที่ราคาสูงขึ้น
แต่ปัญหาของระบบนี้คือไม่สามารถกำหนดราคารับจำนำข้าวได้อย่างเหมาะสม
หรือการที่นักการเมืองใช้ระบบนี้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
โดยกำหนดราคารับจำนำข้าวสูงเกินกว่าราคาตลาด
การจำนำข้าวในปัจจุบันจึงตอบสนองเป้าหมายการยกระดับรายได้ของเกษตรกร
แต่กลับไม่ทำให้เกิดประสิทธิภาพในระบบเศรษฐกิจ
การหันมาใช้ระบบตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า
เป็นการประกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาข้าวได้เช่นเดียวกับการจำนำข้าว
และยังมีประสิทธิภาพมากกว่าระบบรับจำนำข้าว
เพราะเป็นการกำหนดราคาซื้อขายข้าวด้วยกลไกตลาด
อย่างไรก็ตาม
ณ
เวลานี้
ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ถึงแม้ว่าจะทำให้เกิดประสิทธิภาพในระบบเศรษฐกิจ
แต่กลับไม่ช่วยในการยกระดับรายได้เกษตรกร
เพราะเกษตรกรยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
และไม่สามารถเข้าถึงตลาดดังกล่าวได้
นอกจากนี้
แม้ว่ากลไกตลาดจะทำให้ระบบเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพ
เพราะกลไกตลาดจะทำให้ผู้ผลิตที่ไม่มีประสิทธิภาพต้องเลิกการผลิต
แล้วหันไปผลิตสินค้าอื่นที่ตนทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
ซึ่งอาจจะทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่สูงกว่าการทำนา
แต่กระนั้นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ดุลยภาพใหม่
หรือการปรับตัวไปผลิตสินค้าอื่นที่มีผลิตภาพมากกว่า
อาจต้องใช้ระยะเวลานาน
ดังนั้นกลไกตลาดอาจทำให้เกษตรกรที่ไม่มีประสิทธิภาพประสบกับความยากลำบากในช่วงเวลาแห่งการปรับตัว
ยิ่งไปกว่านั้น
ทั้งสองระบบดังกล่าวไม่ได้รับประกันว่าประเทศจะมีความมั่นคงทางอาหาร
เพราะการอุดหนุนราคาข้าวจะยิ่งทำให้ภาคการเกษตรอ่อนแอ
ขณะที่กลไกตลาดอาจทำให้ประเทศไทยขาดความมั่นคงทางอาหาร
หากภาคเกษตรของไทยไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
เร่งสร้างผลิตภาพ
เพื่อเพิ่มผลผลิต
ยกระดับรายได้
และ
พัฒนาขีดความสามารถการแข่งขัน
ผมเห็นว่า
การเปลี่ยนมาใช้ระบบตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าเป็นแนวทางที่ดี
แต่อาจไม่เพียงพอสำหรับการตอบสนองเป้าหมายทั้ง
3
ประการข้างต้น
แต่ควรดำเนินการร่วมกับการสร้างผลิตภาพ
(productivity)
ในการผลิตข้าว
ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่สามารถตอบเป้าหมายต่าง
ๆ
ได้อย่างครบถ้วน
เพราะผลิตภาพที่สูงขึ้นจะทำให้เกษตรกรมีผลผลิตมากขึ้นและมีรายได้ที่สูงขึ้น
และทำให้แข่งขันกับต่างประเทศได้ด้วย
นโยบายสำคัญในการเพิ่มผลิตภาพ
คือ
การพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำ
โดยกำหนดเป้าหมายและจัดตั้งหน่วยงานจัดการน้ำในภาพรวม
เพื่อจัดหาน้ำ
จัดการผลประโยชน์ของการใช้น้ำ
และพัฒนาระบบการจัดสรรทรัพยากรน้ำ
โดยเฉพาะการพัฒนาระบบชลประทาน
เนื่องจากการทำนาในหลายพื้นที่พึ่งพาน้ำฝนเพียงอย่างเดียว
ทำให้ผลผลิตต่ำ
ยืนยันได้จากข้าวนาปีมีผลผลิตต่อไร่เพียง
322
กิโลกรัมต่อไร่
ขณะที่ข้าวนาปรังซึ่งอยู่ในเขตชลประทาน
ผลิตได้ถึง
685
กิโลกรัมต่อไร่
อีกนโยบายหนึ่ง
คือ
การพัฒนาและใช้เทคโนโลยีในการผลิตข้าว
ตั้งแต่การพัฒนาพันธุ์ข้าว
เทคโนโลยีการเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยว
ตลอดจนการเก็บรักษาและการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าของผลผลิตข้าว
แนวทางหนึ่งที่เกษตรกรจะสามารถลงทุนหรือนำเทคโนโลยีมาใช้ได้
คือ
การทำให้เป็นฟาร์มที่ใช้เครื่องจักรกลการเกษตร
(farm
mechanization)
ซึ่งต้องทำให้เกษตรกรรวมตัวกันให้มีการผลิตที่มีขนาดใหญ่
เช่น
การจัดตั้งเครือข่ายธุรกิจชุมชน
การรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์ที่เข้มแข็ง
การจัดตั้งระบบออมเงินในชุมชน
การร่วมลงทุนกับภาคธุรกิจ
เป็นต้น
ซึ่งแนวทางนี้จะทำให้เกษตรกรมีอำนาจต่อรองมากขึ้นด้วย
มาตรการรองรับผลกระทบที่เกิดจากตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ภาครัฐควรมีมาตรการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า
เพื่อให้เกษตรกรมีเวลาในการปรับตัว
อาทิ
การพัฒนาความรู้เกี่ยวกับตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า
การพัฒนาระบบสารสนเทศที่เหมาะสมกับเกษตรกร
เพื่อส่งสัญญาณให้เกษตรทราบทิศทางของการผลิตและราคาสินค้าล่วงหน้า
และเป็นช่องทางในการเข้าถึงบริการของตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าด้วย
มาตรการสำคัญคือ
การส่งเสริมการปรับโครงสร้างการผลิตและแรงงาน
เนื่องจากการปล่อยให้กลไกตลาดกำหนดราคาข้าว
จะส่งผลทำให้เกษตรกรจำนวนหนึ่งอาจประสบปัญหาขาดทุน
ภาครัฐจึงควรช่วยเหลือในการปรับตัวไปผลิตสินค้าชนิดอื่น
หรือย้ายไปทำงานนอกภาคเกษตร
ที่ทำให้แรงงานเหล่านั้นมีผลิตภาพสูงกว่าการทำนา
อย่างไรก็ตาม
ภาครัฐควรวางแผนระดับชาติ
และเตรียมความพร้อมและความแข็งแกร่งในการผลิตอาหารของประเทศ
เพื่อรองรับวิกฤตการขาดแคลนอาหารที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
เพราะหากไม่มีการเตรียมความพร้อม
ประเทศไทยอาจจะผลิตอาหารได้ไม่เพียงพอกับความต้องการของประชาชนในประเทศ
ซึ่งจะกลายเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศในยามที่เกิดวิกฤตได้
|