เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ถึงแม้ว่า
รัฐธรรมนูญฉบับ
2540
พยายามที่จะเปิดโอกาสให้
ส.ส.
ที่สังกัดพรรคมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่
โดยเฉพาะการไม่ต้องปฏิบัติตามมติหรือข้อบังคับของพรรคหากขัดหรือแย้งกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยมีสิทธิร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยได้(มาตรา
47)
แต่ในความเป็นจริงทางการเมือง
หาก ส.ส.
ท่านใดฝ่าฝืนมติของพรรค
ย่อมถูกตรวจสอบในด้านพฤติกรรมว่าปฏิบัติตามระเบียบวินัยของพรรคหรือไม่
และโอกาสที่พรรคจะไม่ส่งลงสมัครในการเลือกตั้งสมัยหน้าก็มีสูงยิ่งขึ้น
ซึ่งทำให้
ส.ส.
เกิดความกลัวและปฏิบัติหน้าที่ราวกับหุ่นยนต์ที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง
ปัญหาที่เกิดขึ้น
กลายเป็นประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ที่ต้องตอบให้ชัดว่า
“ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(ส.ส.)
ต้องสังกัดพรรคการเมืองหรือไม่?”
หรือ
“ควรเปิดอิสระให้กับผู้สมัครโดยไม่ต้องสังกัดพรรคจะเหมาะสมกว่า?”
ฝ่ายที่สนับสนุนให้ผู้สมัคร
ส.ส.
เป็นอิสระโดยไม่ต้องสังกัดพรรค
ให้เหตุผลว่า
การสังกัดพรรคอาจทำให้
ส.ส.
ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของหัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคเพียงไม่กี่คน
ทำให้
ส.ส.
ไม่สามารถมีอิสระในการตัดสินใจแต่จะต้องปฏิบัติตามมติพรรคอย่างเคร่งครัด
ดังจะเห็นได้จากการไม่สามารถฝ่าฝืนมติของพรรคและรัฐบาล
แม้จะเห็นว่ารัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายมีหลักฐานที่เชื่อได้ว่ากระทำผิดและไม่สมควรได้รับการไว้วางใจ
แม้ว่า
ข้อดีการไม่บังคับให้
ส.ส.
ต้องสังกัดพรรค
คือ
ความเป็นอิสระสามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง
สามารถปฏิบัติหน้าที่อยู่บนพื้นฐานของการคำนึงผลผลประโยชน์ประชาชนและประเทศชาติ
แต่อย่างไรก็ตาม
สิ่งที่น่าเป็นห่วงซึ่งอาจเกิดขึ้นตามมาคือ
ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่า
ส.ส.
ที่ไม่สังกัดพรรคจะไม่ถูกครอบงำจากพรรคการเมือง
รัฐบาลหรือพรรคฝ่ายค้านที่ต้องการ
ส.ส.
สังกัดอิสระเข้ามาร่วมงานกับฝ่ายตนอาจหยิบยื่นผลประโยชน์มหาศาลมาล่อใจ
หรือใช้อำนาจอิทธิพลบีบบังคับ
จนทำให้
ส.ส.ที่ไม่สังกัดพรรคไม่สามารถตัดสินใจอย่างเป็นอิสระได้
นอกจากนี้
หากพิจารณาในแง่ที่มีการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ
แน่นอนว่า
ผู้สมัครควรต้องสังกัดพรรคการเมือง
เพราะประชาชนเลือกพรรคการเมือง
ไม่ใช่เลือกนักการเมือง
หากไม่บังคับให้
ส.ส.
ต้องสังกัดพรรคการเมืองในการลงสมัครรับเลือกตั้ง
จะทำให้การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อนั้นไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
ในทางตรงกันข้าม
หากเรายังเห็นว่า
ส.ส.
ควรสังกัดพรรคต่อไป
คงต้องเขียนรัฐธรรมนูญที่เปิดช่องให้
ส.ส.
มีอิสระในการตัดสินใจ
โดยไม่ถูกหัวหน้าพรรค
มติพรรค
หรือกฎระเบียบพรรคผูกมัดดังที่กล่าวเบื้องต้น
รวมถึงการสร้างพรรคการเมืองให้มีการบริหารที่เป็นประชาธิปไตยโดยให้การจัดองค์กร
การดำเนินกิจการ
และข้อบังคับต่าง
ๆ
มาจากสมาชิกพรรคการเมืองมากกว่ามาจากหัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคเพียงไม่กี่คน
และสร้างให้พรรคการเมืองมีการบริหารที่โปร่งใส
การตัดสินใจที่สำคัญของพรรคต้องทำโดยที่ประชุมใหญ่ของพรรค
รวมถึงการเงินที่ควรมาจากฐานมวลชน
ซึ่งจะทำให้พรรคการเมืองมีความเข้มแข็งและเป็นของฐานมวลชนอย่างแท้จริง
หากจะเขียนรัฐธรรมนูญและกำหนดกติกาในเรื่องดังกล่าวนั้น
คงต้องคิดใคร่ครวญอย่างรอบคอบในการกำหนดว่าเราควรจะเปิดโอกาสให้สมัคร
ส.ส.
โดยไม่สังกัดพรรคเลยได้หรือไม่
จะส่งผลดีผลเสียอย่างไร
ที่สำคัญ
ควรมีกฎหมายที่ส่งเสริมให้พรรคการเมืองเป็นของประชาชนและฐานสมาชิกจำนวนมาก
อันจะทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองนั้นเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
|