เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ตัวแทนเอกชนภาคอสังหาริมทรัพย์
ประกอบด้วย
สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร
สมาคมอาคารชุดไทย
และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย
ได้เสนอแนวทางเพื่อฟื้นฟูธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
สรุปเป็นมาตรการ
3
ข้อหลัก
คือ
1)
นำค่าชำระดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้านมาหักลดหย่อนภาษีได้ปีละ
1
แสนบาท
จากเดิม
5
หมื่นบาท
2)
ลดค่าธรรมเนียมการโอนอสังหาริมทรัพย์เหลือร้อยละ
0.01
จากเดิมร้อยละ
2
และลดค่าธรรมเนียมการจดจำนองเหลือร้อยละ
0.01
จากเดิมร้อยละ
1
โดยครอบคลุมบ้านมือสองและสินทรัพย์รอการขายด้วย
3)
อุดหนุนเงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย
3
หมื่นล้านบาทคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ
4.75
คงที่
3
ปีแรก
วงเงินกู้ไม่เกิน
3
ล้านบาทต่อราย
หลังจากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ยลูกหนี้รายย่อยชั้นดี
(MLR)
และการขอผ่อนปรนการจัดทำเครดิตรายบุคคล
รัฐบาลต้องการให้มาตรการนี้ออกมาภายในไตรมาส
3
ของปีนี้
ถือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
นอกเหนือจากการกระตุ้นภาคอิเลคทรอนิกส์
ยานยนต์
และการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ
เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นและกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม
ข้อเสนอเพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวมีหลายประเด็นที่ควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ
อาทิ
ทำให้สถาบันการเงินขาดความยืดหยุ่นในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย
การอุดหนุนสินเชื่อซื้อบ้าน
โดยกำหนดดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ใน
3
ปีแรก
และกำหนดอัตราดอกเบี้ย
MLR
ในระยะยาว
แม้จะเป็นผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น
แต่การกำหนดอัตราดอกเบี้ยในระยะยาวอาจจะสร้างภาระให้กับสถาบันการเงิน
โดยเฉพาะสถาบันการเงินของรัฐที่จะต้องถูกบังคับให้เข้าร่วมโครงการนี้
การกำหนดมาตรการเช่นนี้จะทำให้สถาบันการเงินขาดยืดหยุ่นในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกหนี้
แม้ลูกหนี้มีความเสี่ยงมาก
แต่สถาบันการเงินกลับต้องกำหนดอัตราดอกเบี้ย
MLR
ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุด
สถาบันการเงินจะต้องแบกรับความเสี่ยงไว้เอง
และเป็นภาระความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้
เพราะจะผันแปรตามภาวะเศรษฐกิจในระยะยาว
ซึ่งในที่สุดจะกลายเป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดินด้วย
ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน
การขอให้ภาครัฐผ่อนปรนการจัดทำเครดิตรายบุคคล
มาจากเหตุผลที่ว่า
ที่ผ่านมา
สถาบันการเงินมีการใช้ข้อมูลเครดิต
(เครดิตบูโร)
ร่วมกัน
เพื่อการพิจารณาสินเชื่อรายบุคคล
ทำให้เกิดปัญหาประชาชนจำนวนหนึ่งขอสินเชื่อซื้อบ้านไม่ผ่าน
อย่างไรก็ตาม
ผมเห็นว่าภาครัฐควรพิจารณามาตรการนี้อย่างรอบคอบ
ภาครัฐไม่ควรผ่อนปรนเรื่องดังกล่าวเพียงเพราะต้องการช่วยเหลือประชาชนที่มีปัญหาข้อมูลเครดิตรายบุคคล
จนละเลยการรักษาวินัยด้านการเงิน
แต่ควรปล่อยให้สถาบันการเงินบริหารความเสี่ยงด้วยตนเอง
เนื่องจากจะทำให้นโยบายของภาครัฐขาดความน่าเชื่อถือ
และอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน
|