เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
รัฐบาลกำลังเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนที่ขาดความมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจ
โดยใช้มาตรการด้านการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมกับมาตรการด้านการเงินเพื่อทำให้การบริหารเศรษฐกิจเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
และป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
(จีดีพี)
ในปี
2550
เติบโตต่ำกว่าร้อยละ
4
ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากร้อยละ
4.5
เหลือร้อยละ
4.0
ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ
0.50
ในครั้งนี้ถือเป็นการผ่อนคลายนโยบายทางด้านการเงิน
โดยธนาคารแห่งประเทศไทยระบุถึงความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันว่า
อยู่ที่ด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่ใช่เงินเฟ้อ
ในส่วนของกระทรวงการคลังมีการเตรียมออกมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อในภาคอสังหาริมทรัพย์
อิเล็คทรอนิกส์
และยานยนต์
รวมถึงเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ส่งเสริมการสร้างงาน
และคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ
7
ออกไปอีก
1
ปี
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันยังมีผลต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจเพื่อการบริโภคและการลงทุน
การนำมาตรการต่าง
ๆ
มาใช้จึงควรคำนึงถึงสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขของสังคมไทยในปัจจุบันเป็นสำคัญ
ข้อควรคำนึงในการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
ผมเห็นว่า
การใช้นโยบายการเงินและการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นมาตรการที่มีความจำเป็น
ทั้งในส่วนของการลดอัตราดอกเบี้ยหรือการคงอัตราภาษีและค่าธรรมเนียมการโอนที่ดินในระดับต่ำ
แต่อาจไม่เพียงพอในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในเวลานี้
เพราะถึงแม้ว่าจะกระตุ้นการบริโภคได้บ้าง
แต่จะไม่กระตุ้นการลงทุนได้มากนัก
หากปัญหาทางการเมืองและความไม่มั่นใจในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลยังคงมีอยู่
ขณะที่ประสิทธิภาพการบริหารงานของรัฐบาลจะเป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จของการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ
ว่าจะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากหรือน้อยเพียงใด
ขณะที่ข้อเสนอแนะให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งละมาก
ๆ
เพียงครั้งเดียว
จะต้องคำนึงถึงผลกระทบอย่างรอบคอบ
เนื่องจากการลดดอกเบี้ยอย่างรุนแรงอาจจะทำให้เงินทุนไหลออกมากเกินไปจนทำให้ค่าเงินผันผวน
และถึงแม้ว่าอาจจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจระดับมหภาค
แต่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจระดับจุลภาค
และความเป็นธรรมระหว่างคนกลุ่มต่าง
ๆ
เพราะจะมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่เสียประโยชน์
อาทิ
ผลกระทบต่อผู้ที่มีรายได้จากเงินออม
ลูกหนี้ที่กู้เงินด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่
ผู้นำเข้า
ผู้ที่มีหนี้ต่างประเทศ
ฯลฯ
รัฐบาลควรกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรจึงเกิดประสิทธิผล
คำถามสำคัญคือรัฐบาลควรกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรจึงเกิดประสิทธิผล
ท่ามกลางปัญหาทางการเมืองและความไม่เชื่อมั่นที่มีต่อการบริหารงานของรัฐบาล
ผมเห็นว่า
ภาครัฐจำเป็นจะต้องเป็นผู้ลงทุนหลัก
แม้การกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการบ้าง
แต่อาจไม่ใช่แนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเทียบกับการลงทุน
แต่ในภาวะที่การลงทุนภาคเอกชนตกต่ำจากการขาดความเชื่อมั่น
รัฐบาลต้องเร่งดำเนินโครงการลงทุนต่าง
ๆ
โดยเร็ว
และประกาศแผนการดำเนินการอย่างชัดเจนว่าจะดำเนินโครงการใดบ้าง
ใช้เงินลงทุนเท่าไร
และจะเริ่มดำเนินการเมื่อใด
รัฐบาลควรดูดซับสภาพคล่องในระบบเพื่อนำเงินมาลงทุน
เพราะการลดอัตราดอกเบี้ยจะทำให้เกิดสภาพคล่องล้นระบบ
ด้วยเหตุที่ประชาชนยังขาดความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจและการเมืองในอนาคต
ทำให้ไม่กล้าลงทุนหรือใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าคงทน
แม้ดอกเบี้ยจะลดลงต่ำสุดแล้วก็ตาม
ดังนั้นรัฐบาลควรเพิ่มทางเลือกในการออมให้กับประชาชน
โดยการออกพันธบัตรกู้เงินจากประชาชน
เพื่อนำมาลงทุนในโครงการของรัฐ
สุดท้าย
รัฐบาลควรมีมาตรการรองรับผลกระทบจากปัญหาการว่างงานของแรงงานจบใหม่และแรงงานนอกระบบ
ซึ่งผมเห็นว่าการสร้างงานโดยรัฐนั้นไม่มีประสิทธิภาพ
ขณะที่การให้บริการสังคมสงเคราะห์นั้นแม้จำเป็นแต่จะไม่เกิดประโยชน์ในระยะยาว
ผมจึงเห็นว่า
รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณจำนวนหนึ่ง
เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาพัฒนาคุณภาพแรงงานด้วย
อาทิ
การลดภาษีธุรกิจด้านการศึกษาและการฝึกอบรม
การลดหย่อนภาษีแก่บริษัทที่เพิ่มการฝึกอบรมพนักงาน
นับเป็นการกระตุ้นการลงทุนในการเสริมสร้างทุนมนุษย์
ซึ่งดีกว่าการนำไปใช้จ่ายเพื่อบริโภคเพียงเท่านั้น
|