เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
รัฐบาลไทยประกาศขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประชาชนอยู่ดีมีสุข
โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ประชาชน
ยุทธศาสตร์ดังกล่าวดำเนินการพร้อมกับ
โครงการพัฒนาหมู่บ้านตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
มีการจัดสรรงบประมาณกว่า
1
หมื่นล้านบาทลงพื้นที่ทั่วประเทศ
เพื่อทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ระยะยาว
ส่งเสริมให้ชุมชนมีความเข้มแข็งและพึ่งพาตัวเองได้
ผ่านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับรากแก้วเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ
ข้อควรระวังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับรากแก้ว
คือ
ประสิทธิภาพการใช้จ่าย
เนื่องจากประชาชนอาจนำเงินไปใช้เพื่อการบริโภคมากเกินไป
โดยไม่นำไปลงทุนซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์และความคุ้มค่าต่อเศรษฐกิจภาพรวมมากกว่า
ผมจึงเห็นด้วย
หากแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
เป็นการสนับสนุนการลงทุนของผู้ประกอบการ
เพื่อทำให้ภาคการผลิตแท้จริงเกิดการขับเคลื่อน
และเกิดการจ้างงานในชุมชน
ซึ่งย่อมมีประสิทธิภาพมากกว่าการที่ภาครัฐลงทุนและดำเนินการเอง
และมีความเสี่ยงน้อยกว่าการให้ประชาชนที่ไม่มีทักษะการประกอบการเป็นผู้ลงทุน
อย่างไรก็ตาม
อุปสรรคสำคัญในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการลงทุนในชนบท
คือ
การขาดแคลนผู้ที่มีทักษะการประกอบการในชุมชน
และการขาดแรงจูงใจในการเข้าไปลงทุนในชุมชน
เนื่องจากต้นทุนการลงทุนในชนบทสูงมากเมื่อเทียบกับการลงทุนในเมือง
แต่ผลประโยชน์ที่จะได้รับกลับต่ำกว่า
ที่ผ่านมา
มาตรการส่งเสริมการลงทุนในชนบทจึงไม่ประสบความสำเร็จมากนัก
เพราะเป็นมาตรการระยะสั้น
ไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างต้นทุนและผลประโยชน์ระหว่างเมืองและชนบท
ปรับโครงสร้างภาษีนิติบุคคล
เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจรากแก้ว
ผมจึงขอเสนอแนวคิดเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจรากแก้ว
และกระจายความเจริญและรายได้สู่ชนบท
และลดความแออัดของเมือง
โดยการปรับโครงสร้างภาษีนิติบุคคลให้มีอัตราที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่
เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ที่ขาดผู้ที่มีทักษะการเป็นผู้ประกอบการและพื้นที่ที่มีการลงทุนต่ำ
ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจชนบทมีความเข้มแข็งมากขึ้น
การปรับโครงสร้างภาษีนิติบุคคลไม่ได้หมายความว่า
จะต้องเพิ่มอัตราภาษีในเขตเมือง
แต่อาจเป็นการลดอัตราภาษีในชนบท
ถึงแม้ว่าการลดอัตราภาษีดังกล่าวจะทำให้การจัดเก็บรายได้ของภาครัฐลดลง
แต่เมื่อมองในมุมกลับหมายถึงสภาพคล่องของภาคเอกชนที่มีมากขึ้น
และนำไปสู่การลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น
ซึ่งน่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการที่ภาครัฐนำเงินก้อนนี้ไปใช้จ่ายเอง
ยิ่งไปกว่านั้น
เมื่อเอกชนขยายการลงทุนมากขึ้น
จะทำให้ภาครัฐจัดเก็บภาษีได้มากขึ้นในอนาคต
แนวทางกำหนดอัตราภาษีนิติบุคคลในแต่ละพื้นที่
หลักเกณฑ์ในการกำหนดอัตราภาษีนิติบุคคลในแต่ละพื้นที่
อาจพิจารณาจากดัชนีเศรษฐกิจรายจังหวัด
เช่น
ดัชนีชี้วัดความยากจน
ผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด
(จีดีพีจังหวัด)
ต้นทุนการประกอบกิจการในแต่ละพื้นที่แยกเป็นรายอุตสาหกรรม
ผลตอบแทนจากการลงทุนในแต่ละพื้นที่แยกเป็นรายอุตสาหกรรม
เป็นต้น
ทั้งนี้การกำหนดว่า
อัตราภาษีในแต่ละพื้นที่ควรเป็นเท่าไรนั้นจะต้องมีการศึกษาวิจัยและรับฟังความต้องการของประชาชนต่อไป
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลงทุนตามที่ต้องการ
ไม่เกิดการลำเอียงต่อพื้นที่ใดมากเกินไป
และเพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดจากมาตรการนี้
ข้อควรคำนึงก่อนดำเนินการปรับโครงสร้างภาษีนิติบุคคลฯ
อย่างไรก็ตาม
มาตรการทางด้านภาษีไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่สามารถสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ชนบท
ภาครัฐควรกำหนดมาตรการด้านอื่น
ๆ
เพิ่มเติมด้วย
โดยคำนึงถึงเงื่อนไขเฉพาะของแต่ละท้องถิ่น
อาทิ
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนการผลิต
การขนส่ง
การจัดการมลพิษ
และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร
การพัฒนาทักษะผู้ประกอบการ
การยกระดับฝีมือแรงงาน
การส่งเสริมคลัสเตอร์ของภาคการผลิต
ฯลฯ
โดยจะต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับความได้เปรียบเชิงเปรียบของแต่ละพื้นที่
การสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข
ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเฉพาะศักยภาพที่มีอยู่ในชุมชนเท่านั้น
แต่อาจจำเป็นต้องพึ่งพาผู้ประกอบการและทรัพยากรจากภายนอกชุมชน
โดยกำหนดเงื่อนไขจูงใจที่ทำให้ภายในและภายนอกชุมชนได้ประโยชน์ร่วมกัน
ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องอยู่ภายใต้กรอบความต้องการของคนในชุมชนด้วย
|