เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
นายปิยะบุตร
ชลวิจารณ์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
เปิดเผยว่า
ในการจัดทำงบประมาณประจำปี
2551
ได้ข้อสรุปชัดเจนแล้วว่า
จะไม่ดำเนินการโครงการ
“กรุงเทพฯเมืองแฟชั่น”
ต่อไป
เนื่องจากได้พิจารณาแล้วเห็นว่า
การดำเนินโครงการดังกล่าวไม่คุ้มกับงบประมาณที่จ่ายไป
แม้ว่าทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะยังไม่ส่งผลการประเมินโครงการนี้มาให้รัฐบาล
ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายก่อนตัดสินใจว่าจะยกเลิกโครงการนี้หรือไม่
รัฐบาลทักษิณตั้งใจจะผลักดันอุตสาหกรรมแฟชั่นให้เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศ
เพื่อพัฒนาให้เป็นผู้นำของโลกในตลาดเฉพาะ
(World
Leader
in Niche
Markets)
5 สาขา
ได้แก่
อุตสาหกรรมอาหาร
อุตสาหกรรมแฟชั่น
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
อุตสาหกรรมยานยนต์
และอุตสาหกรรมซอฟท์แวร์
อย่างไรก็ตาม
หลังจากรัฐบาลปัจจุบันเข้ามาบริหารประเทศไม่นาน
ได้ยุติโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ไปแล้ว
2 สาขา
คือ
“โครงการครัวไทยสู่ครัวโลก”
ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหาร
และ
”โครงการดีทรอยต์แห่งเอเชีย”
โครงการหลักในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์
การตัดสินใจของกระทรวงอุตสาหกรรมครั้งนี้
สอดคล้องกับผลการวิจัยของผม
เรื่อง
“ยุทธศาสตร์การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตไทย”
โดยผลการวิจัยระบุว่าอุตสาหกรรมแฟชั่นไม่เหมาะจะเป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ชาติ
เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่อิ่มตัวและไม่น่าลงทุน
เมื่อวิเคราะห์สถานะของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มทั่วโลก
พบว่า
การค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในตลาดโลกมีอัตราการขยายตัวอยู่ในระดับต่ำ
ทำให้สัดส่วนมูลค่าการค้าของอุตสาหกรรมนี้ลดลงเมื่อเทียบกับมูลค่าการค้าของอุตสาหกรรมทั้งหมดในโลก
ซึ่งแสดงว่าอุตสาหกรรมสาขานี้มีแนวโน้มชะลอตัวลงทั่วโลก
หากพิจารณาสถานะของอุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นรายประเทศ
ฮ่องกงเป็นประเทศที่มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด
ขณะที่อิตาลีมีอัตราขยายตัวของส่วนแบ่งการตลาดมากเป็นอันดับหนึ่ง
และเมื่อวิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ
โดยใช้ดัชนีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบที่ปรากฏ
หรือ
Revealed
Comparative
Advantage
(RCA)
พบว่า
จีนมีค่าดัชนีดังกล่าวสูงสุด
ส่วนประเทศไทยมีค่า
RCA
ในระดับที่สามารถแข่งขันได้
(มากกว่า
1)
และมีการขยายตัวของส่วนแบ่งการตลาด
แต่ส่วนแบ่งการตลาดยังมีสัดส่วนน้อยมาก
เมื่อพิจารณาสถานะของอุตสาหกรรมในระดับโลกและรายประเทศ
พบว่าอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของจีน
อิตาลี
ไทย
และเม็กซิโก
จัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมดาวตก
แม้ว่ายังคงมีความสามารถในการแข่งขันและยังมีส่วนแบ่งตลาดส่งออกเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง
ขณะที่อุตสาหกรรมดังกล่าวของสหรัฐอเมริกา
เกาหลีใต้
และฮ่องกง
ที่มีส่วนแบ่งตลาดส่งออกลดลง
จึงจัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องปรับโครงสร้าง
ผมจึงเห็นด้วยที่รัฐบาลจะไม่ส่งเสริมอุตสาหกรรมแฟชั่นให้เป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ต่อไป
แม้ว่าสินค้าแฟชั่นจะมีมูลค่าการส่งออกสูงและยังมีความสามารถในการแข่งขัน
รวมทั้งการส่งออกยังทำให้สวัสดิการสังคมเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้เพราะแนวโน้มของอุตสาหกรรมนี้ในระดับโลกไม่สดใสนัก
และมีคู่แข่งขันที่น่ากลัวคือจีนที่มีต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่าแรงงานไทยมาก
การลงทุนของภาครัฐและเอกชนจำนวนมากเพื่อส่งเสริมให้เป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์เพื่อการแข่งขันในเวทีโลก
จึงอาจไม่คุ้มค่าในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม
ผมไม่ได้หมายความว่า
รัฐบาลควรละทิ้งอุตสาหกรรมนี้เสีย
เพราะถึงอย่างไรอุตสาหกรรมนี้ยังมีมูลค่าการส่งออกสูงมาก
และมีการจ้างงานจำนวนมาก
รัฐบาลจึงควรใช้งบประมาณและนโยบายในระดับที่เหมะสม
เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมนี้ไว้
และส่งเสริมให้ยังคงเป็นสินค้าส่งออกได้ในระยะสั้น-กลาง
ในขณะเดียวกัน
ผมเห็นว่ารัฐบาลควรกำหนดนโยบายปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมนี้ในระยะยาว
โดยมีเป้าหมาย
2 ประการคือ
การย้ายผู้ประกอบการและแรงงานออกจากอุตสาหกรรมนี้ไปสู่อุตสาหกรรมอื่นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
และการยกระดับภาคการผลิตบางส่วนขึ้นไปแข่งขันในตลาดระดับบน
ไปสู่การผลิตที่สร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าด้วยการสร้างแบรนด์
(Original
Brand
Manufacture:
OBM)
เพราะประเทศไทยยังมีแรงงานส่วนหนึ่งที่มีฝีมือ
และมีกิจการบางส่วนที่สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูง
ถึงกระนั้น
การยกระดับภาคการผลิตไปสู่การสร้างแบรนด์ของตนเอง
อาจไม่ใช่การดำเนินการในระดับใหญ่
หรือพยายามยกระดับอุตสาหกรรมทั้งระบบเหมือนที่ผ่านมา
เพราะผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการเป็นผู้ผลิตสินค้าส่งออกในแบรนด์ของตนเองนั้น
อาจมีจำนวนไม่มากนัก
การส่งเสริมจึงควรกระทำโดยการคัดเลือกแบบเจาะจง
และควรใช้งบประมาณและทรัพยากรของภาครัฐเพื่อการสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการโดยตรง
มิใช่เพื่อสร้างภาพลักษณ์เหมือนรัฐบาลชุดที่ผ่านมา
การตัดสินใจกำหนดนโยบายของภาครัฐในอนาคต
ควรยืนอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้องและมีงานวิจัยรองรับ
โดยพิจารณาทั้งศักยภาพในประเทศและแนวโน้มในระดับโลก
เพื่อให้การตัดสินใจเชิงนโยบายไม่ได้อิงอยู่บนพื้นฐานเพียงความรู้สึกพึงพอใจของประชาชน
และการหวังผลความนิยมทางการเมืองของผู้กำหนดนโยบาย
โดยไม่ได้มองผลที่ปลายทางในระยะยาว
|