เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
หากจะกล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญฉบับปี
2540
อีกประการหนึ่ง
คือ
เรื่องการตรวจสอบการทำงานของคณะรัฐบาล
ถึงแม้ว่ารัฐธรรมนูญจะเปิดช่องให้มีการตรวจสอบนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี
ด้วยสัดส่วนที่กำหนดไว้
สำหรับนายกรัฐมนตรีจะต้องมีสัดส่วน
2 ใน 5
ของส.ส.
ในสภา ฯ
และส่วนรัฐมนตรีสัดส่วน
1 ใน 5
ของส.ส.ในสภา
ฯ
แต่รัฐบาลที่ผ่านมากลับได้ชื่อว่าเป็น
รัฐบาลที่มีความเข้มแข็ง
เนื่องจากมีสัดส่วนจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนที่มาจากพรรคตนเองมากถึง
370
คนจาก
ส.ส. 500
คน
ฝ่ายค้านจึงไม่สามารถตรวจสอบการทำงานของหัวหน้าคณะรัฐบาลได้
ตามกระบวนการรัฐธรรมนูญ
โดยการยื่นขอเปิดอภิปรายได้
ด้วยเหตุนี้ จึงค่อนข้างแน่นอนว่า อาจมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
โดยลดสัดส่วนเพื่อ
ส.ส.
จะยื่นอภิปรายนายกฯ
ได้ง่ายขึ้น
ในเรื่องดังกล่าว หากพิจารณาถึงข้อเสนอสัดส่วนที่เหมาะสม
ผมเสนอว่า
ควรแก้ไขสัดส่วนให้
ส.ส.
จำนวนไม่น้อยกว่า
1
ใน
4
ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป
เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี
ถือว่าเป็นสัดส่วนที่เหมาะสม
เพื่อเป็นการป้องกันมิให้เกิดเผด็จการรัฐสภาเหมือนเช่นเดิม
การกำหนดสัดส่วนใหม่ เป็น
1
ใน
4
ของจำนวน
ส.ส.
ที่มีอยู่
นอกจากจะทำให้
ส.ส.
ทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหารแทนประชาชนได้ง่ายขึ้นแล้ว
ในขณะเดียวกันเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเกินไปจนทำให้ฝ่ายบริหารไม่มีเสถียรภาพ
นายกฯ
ไม่สามารถบริหารประเทศได้
ส่วนการอภิปรายรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลนั้น ผมเห็นว่า สัดส่วนเดิมมีความเหมาะสมแล้ว
โดยให้ ส.ส.จำนวนไม่น้อยกว่า
1
ใน
5
ของสมาชิกทั้งหมด
เข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป
เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลได้
หากจำลองสัดส่วนจากจำนวน ส.ส.เดิม
500
คน
ตามรัฐธรรมนูญ
2540
การขอยื่นอภิปรายนายกฯ
ในสัดส่วนใหม่คือ
1
ใน
4
ของจำนวน
ส.ส.
นั้นจะต้องมี
ส.ส.จำนวน
125
คน
และหากต้องการยื่นอภิปรายรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลจะต้องมี
ส.ส.
เข้าชื่อรวมกันไม่ต่ำกว่า
100
คน
และหากจำนวน
ส.ส.
ใหม่ที่คาดว่าจะกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
2550
จำนวน
400
คน
การยื่นอภิปรายนายกฯ
จะต้องมี
ส.ส.
เข้าชื่อรวมกันไม่ต่ำกว่า
100
คน
และอภิปรายรัฐมนตรีไม่ต่ำกว่า
80
คน
ถือได้ว่าเป็นสัดส่วนที่มีความเป็นไปได้ในการขอยื่นตรวจสอบรัฐบาลจากฝ่ายค้าน
ขณะเดียวกัน เสนอว่า ควรร่างกฎหมายให้มีการเปิดช่องในการตรวจสอบ
ในกรณีที่
ส.ส.
ฝ่ายค้านมีจำนวนไม่ถึงเกณฑ์ที่จะเข้าชื่อขอยื่นอภิปรายรัฐมนตรีได้
ให้ส.ส.ฝ่ายค้านทั้งหมดสามารถเข้าชื่อรวมกันเพื่อขออภิปรายทั่วไป
เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีได้
แต่ควรมีการกำหนดเงื่อนเวลาการขอเปิดอภิปรายทั่วไป
โดยให้รัฐบาลบริหารงานไปแล้วไม่ต่ำกว่า
1
ปี
เพื่อเปิดโอกาสให้รัฐบาลสามารถบริหารงานอย่างเต็มที่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
แม้จะมีการถกเถียงว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ภายหลังจากที่มีการอภิปราย
ไม่เคยมีการถอดถอนออกจากตำแหน่งได้จริง
ๆ
หากแต่ผมเห็นว่า
การยื่นอภิปรายดังกล่าวมีประโยชน์ต่อประชาชน
ในแง่ของการนำเสนอมุมมองอีกด้านจากฝ่ายค้านต่อการบริหารงานของรัฐบาล
ทำให้ประชาชนได้พิจารณาถึงความชอบธรรมทางการเมืองของรัฐบาลในเรื่องนั้น
ๆ
การทำให้เกิดการตรวจสอบถ่วงดุลในรัฐสภาง่ายขึ้นเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างระบบตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาล
แต่สิ่งสำคัญคือ
การส่งเสริมให้การเมืองภาคประชาชนมีความเข้มแข็ง
เพื่อทำให้เกิดการตรวจสอบอย่างมีประสิทธิภาพ
จากเจ้าของอำนาจอย่างแท้จริงโดยปราศจากการครอบงำทางการเมือง
|