เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ปัญหาหนึ่งที่เกิดจากการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ
2540
ได้แก่
การให้ ส
. ส .
ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
ต้องพ้นจากตำแหน่ง
ทำให้เกิดปัญหาเมื่อนายกรัฐมนตรีปรับคณะรัฐมนตรี
รัฐมนตรีที่ถูกปรับเปลี่ยน
ไม่ได้
ดำรงตำแหน่งต่อไป
ย่อมกลายเป็นเหมือน
ผู้ที่เว้นว่างทางการเมืองไปโดยปริยาย
ยิ่งหาก
ส . ส .
ที่เลื่อนไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีนั้นมาจาก
ส . ส .
เขต
ย่อมทำให้เขตนั้นต้องมีการ
เลือกตั้งใหม่
ต้องเสียงบประมาณในการเลือกตั้ง
และต้องเสียเงินเพื่อหาเสียงของผู้สมัคร
ๆ ด้วย
หากพิจารณาตามหลักการการเป็นตัวแทนประชาชนของ
ส.ส.ประชาชนเป็นผู้เลือกผู้แทนให้มาทำ
หน้าที่แทนตน
และควรดำรงตำแหน่งจนครบวาระการเลือกตั้ง
ไม่ควรพ้นสภาพ
ส.ส.ได้อย่างง่าย
ๆ
โดยไม่มีเหตุอันสมควร
ได้รับการถูกลั่นแกล้งทางการเมือง
เพราะตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี
ได้รับการยอมรับจากประชาชน
ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง
ในมุมหนึ่ง
ส.ส.จึงไม่ควรที่จะพ้นจากตำแหน่งอย่างไม่สมควร
แม้จะพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว
ย่อมมิใช่เรื่องเสียหายหากจะให้กลับมาทำหน้าที่
ส.ส.
ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ
ดังนั้น
ทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้น
เพื่อให้สมดุลในภาคปฏิบัติและสอดคล้องกับหลักการจึงเสนอว่า
ส.ส.ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องพ้นจากการเป็น
ส.ส.อย่างถาวร
แต่จะถูก
“
จำกัดอำนาจ
”
โดยไม่มีสิทธิหน้าที่ของ
ส . ส .
ตลอดระยะเวลาของการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
แต่ยังคงมีฐานะเป็น
ส.ส.อยู่
ตามกฎหมาย
เมื่อมีการปรับคณะรัฐมนตรีและเป็นเหตุให้พ้นจากตำแหน่งก็สามารถกลับเข้ามาทำหน้าที่
ส . ส .
เช่นเดิมได้
ขณะเดียวกัน
หากเป็นไปในแนวทางนี้
เสนอว่า
ไม่จำเป็นต้องมีการเพิ่มจำนวน
ส.ส.เพื่อทดแทน
ส.ส.ที่ต้องดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีให้ครบจำนวน
แต่ให้คงไว้ในสภาพเช่นเดิม
เนื่องจากเห็นว่า
ไม่มีความจำเป็นจำนวน
ส.ส.ที่มีอยู่ยังสามารถทำหน้าที่ได้
อีกทั้งเป็นการตัดปัญหาความยุ่งยากและการเสียงบประมาณเพื่อเลือกตั้งใหม่
ถึงกระนั้น
อาจมีการเกรงว่า
การทำเช่นนี้จะทำให้เสียงของฝ่ายรัฐบาลลดน้อยลง
เพราะต้องเป็น
รัฐมนตรีถึง
35 คน
หากไม่มีการเชิญคนนอกเลย
นั่นหมายความว่า
ฝ่ายรัฐบาลจะเสีย
ส . ส .
ที่สนับสนุนไปถึง
35 เสียง
ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพในการบริหารประเทศได้
ยิ่งหากเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค
มี
โอกาสขาดความเป็นเอกภาพได้ง่าย
การมีเสียงน้อยลงยิ่งทำให้โอกาสที่เสียงโหวตแพ้ฝ่ายค้านมีมากขึ้น
เมื่อต้องลงมติในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
จนอาจเป็นเหตุให้ต้องมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่
ข้อกังวลดังกล่าวอาจไม่เป็นเรื่องใหญ่
ทั้งนี้
หากพิจารณาในภาคปฏิบัติจริง
เมื่อฝ่ายรัฐบาลทราบ
ข้อจำกัดตามกฎหมายที่เกิดขึ้น
เช่นนี้
ย่อมแสวงหาวิธีที่จะรวมกลุ่มเพื่อให้ได้เสียงฝ่ายรัฐบาลที่มีจำนวนมาก
พอจนมั่นใจว่าฝ่ายตนนั้นมีเสถียรภาพ
แม้ว่าจะต้องเสียส.ส.จำนวนหนึ่งไปชั่วคราวเพื่อดำรงตำแหน่ง
รัฐมนตรี
เพราะในฐานะฝ่ายรัฐบาลย่อมต้องมีหลักประกันความมั่นคงแห่งนิติฐานะ
โอกาสที่เสียง
ฝ่ายรัฐบาลจะน้อยจนขาดเสถียรภาพ
ในความเป็นจริงมีความเป็นไปได้น้อย
ในประเด็นนี้
จึงอยากฝากให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ
ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ
โดยคำนึง
อย่างสมดุล
ทั้งในเรื่องของการที่
ส.ส.เป็นตัวแทนของประชาชน
จึงไม่ควรพ้นจากตำแหน่งไปอย่างไม่
เหมาะสม
ขณะเดียวกัน
คณะรัฐมนตรี
ในฐานะฝ่ายบริหารย่อมไม่เหมาะสมที่จะทำหน้าที่
ส . ส .
ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ
ซึ่งทางออกจะเป็นเช่นไร
จะเหมาะสมหรือเปิดช่องโหว่ใดอีกหรือไม่คงเป็นเรื่องที่ต้องร่วมกันคิดพิจารณาอย่างรอบคอบต่อไป
|