เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ประเด็นเกี่ยวกับการซื้อดาวเทียมไทยคมคืน
มีข้อถกเถียงที่หลากหลาย
อาทิ
การซื้อคืนดาวเทียมคืนมาจะคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไปหรือไม่
และจำเป็นหรือไม่ว่าการได้ดาวเทียมไทยคมกลับมาเป็นสมบัติของชาติ
จะต้องใช้วิธีการซื้อคืนจากเทมาเซกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ข้อถกเถียงเหล่านี้
เป็นโจทย์สำคัญที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องนำไปพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนจะตัดสินใจดำเนินการ
โดยเฉพาะแนวทางการซื้อคืนดาวเทียมไทยคมจากเทมาเซก
ประเด็นสำคัญ
คือ
ราคาในการซื้อคืนควรเป็นเท่าไร
และจะมีต่อรองราคาอย่างไรเพื่อจะทำให้ทั้งฝ่ายไทยและสิงคโปร์ได้ประโยชน์
ลักษณะตลาดซื้อขายดาวเทียมไทยคมเป็นตลาดที่มีการผูกขาดทั้งด้านผู้ซื้อและด้านผู้ขาย
เพราะมีผู้ขายเพียงรายเดียวและมีผู้ซื้อเพียงรายเดียว
ดังนั้นการกำหนดราคาซื้อขายจึงขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายด้วย
ในตลาดลักษณะเช่นนี้
ผู้ขายจะกำหนดราคาต่ำที่สุดที่ตนเองสามารถยอมรับได้
โดยไม่บอกให้ผู้ซื้อทราบราคาดังกล่าว
แต่จะพยายามต่อรองกับผู้ซื้อให้ได้ราคาสูงสุด
ขณะที่ผู้ซื้อจะกำหนดราคาสูงสุดที่ตนเองสามารถยอมรับได้
โดยไม่บอกให้ผู้ขายทราบราคาดังกล่าว
แต่จะพยายามต่อรองให้ได้ราคาต่ำสุด
ทำให้ราคาที่มีการซื้อขายจริงจะอยู่ในระดับที่ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจ
หรือได้รับประโยชน์ร่วมกัน
แต่สถานการณ์ของการซื้อขายดาวเทียมไทยคมในเวลานี้
คือ
เทมาเซกไม่ได้แสดงความต้องการที่จะขายดาวเทียม
แต่กลับมีการแสดงความต้องการซื้อคืนดาวเทียมจากฝ่ายไทย
สถานการณ์เช่นนี้เป็นการก้าวพลาดไปหนึ่งก้าวของไทย
เพราะการเปิดเผยท่าทีว่า
ประเทศไทยต้องการซื้อดาวเทียมไทยคมอย่างมาก
ทำให้เทมาเซกกลายเป็นผู้ถือไพ่ที่เหนือกว่า
จึงแสดงความพยายามโก่งราคาดาวเทียมให้สูงขึ้นกว่าราคาที่ควรจะเป็นในสถานการณ์ปกติ
อันที่จริง
หากประเทศไทยต้องการซื้อดาวเทียมไทยคมคืน
ควรจะสงวนท่าทีที่ต้องการซื้อดาวเทียมไทยคมเอาไว้
และดำเนินการศึกษาช่องทางต่าง
ๆ
ที่จะสามารถนำดาวเทียมไทยคมกลับมาเป็นของคนไทยอย่างรอบคอบ
ซึ่งดีกว่าที่จะประกาศดัง
ๆ
ต่อสาธารณชน
หากรัฐบาลเห็นว่าควรใช้วิธีซื้อคืนดาวเทียมไทยคม
ผมเสนอว่า
ควรเปิดโต๊ะเจรจากับเทมาเซกในรูปแบบการเจรจาซื้อกิจการทั่วไป
รัฐบาลไม่ควรบีบให้เทมาเซกต้องขายดาวเทียมในราคาถูก
โดยเข้าทำการตรวจสอบมูลค่าทางบัญชีของกิจการดาวเทียมไทยคม
และตกลงร่วมกันว่าราคาของดาวเทียมไทยคมที่รัฐบาลต้องการและเทมาเซกรับได้ควรจะเป็นเท่าไร
ดีกว่าการทราบข้อมูลผ่านสื่อซึ่งจะทำให้ข้อมูล
บิดเบือน
รวมทั้งฉวยโอกาสการเจรจานี้ร่วมกันหาทางออกของปัญหาต่าง
ๆ
ที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง
อาทิ
ปัญหาหุ้นไอทีวี
ปัญหาการใช้นอมินีมาถือหุ้นแทนในชินคอร์ป
เพื่อเรียกความสัมพันธ์อันดีกลับคืนมา
ผมอยากให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนหนึ่ง
ในการดำเนินนโยบายอย่างรอบคอบ
คิดอย่างรอบด้าน
ประเมินผลได้ผลเสียที่เกิดขึ้นอย่างครบถ้วน
เพราะทุกการตัดสินใจของผู้นำประเทศ
ผู้ที่ได้รับผลกระทบคือประชาชนภายในประเทศนั่นเอง
|