เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
สถานการณ์ภาคใต้ขณะนี้ดูเหมือนจะรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ
นับจากเหตุการณ์การขโมยปืนเมื่อวันที่
4
ม.ค.2547
จนถึง
เหตุการณ์ระเบิดปูพรมกว่า
50 จุดใน
3
จังหวัดชายแดนใต้
เมื่อวันที่
15
มิ.ย.2549
เวลาที่ผ่านมา
2 ปีกว่า
นายกฯ
ได้กล่าวผ่านสื่อต่าง
ๆ
เสมอว่า
รู้สาเหตุของปัญหาแล้ว
รู้แล้วว่าใครเป็นตัวการ
เป็นฝีมือโจรกระจอก
รวมถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ที่นายกฯ
กล่าวว่ารู้อยู่แล้วว่าจะมีเหตุเกิดขึ้นในวันดังกล่าว
แต่เหตุการณ์ยังคงเกิดขึ้น
ผมเข้าใจว่าการแก้ปัญหาความรุนแรงใน
3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่เรื่องง่าย
ต้องใช้เวลา
และความเข้าใจ
ซึ่งผมเห็นว่าท่านนายกฯ
รู้ถึงปัญหาใหญ่ของความรุนแรงที่เกิดขึ้นว่ามาจากปัญหาที่มวลชนไม่ไว้วางใจรัฐ
ดังนั้นแนวทางแก้ปัญหา
คือ
การทำให้ประชาชนในพื้นที่ไว้วางใจรัฐบาล
ทำให้มวลชนรู้สึกว่ารัฐบาลอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา
ทำให้เขายินดีที่จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการ
ทำงานของรัฐ
แต่ผมประหลาดใจว่า
เหตุใดนายกฯ
ที่บอกว่าตนเองรู้ถึงปัญหาจึงไม่รีบแก้ปัญหา
แต่กลับมีพฤติกรรมตรงกันข้ามกับแนวทางในการแก้ปัญหา
ที่ผมกล่าวเช่นนี้
เพราะสิ่งที่รักษาการนายกฯ
ตัดสินใจหลังเกิดเหตุการณ์ระเบิดในภาคใต้
คือ การเดินทางไปประชุมสุดยอดการประชุมว่าด้วยการปฏิสัมพันธ์
และแสวงหามาตรการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในเอเชีย
ระหว่างวันที่
15-17
มิถุนายน
2549 ที่
สาธารณรัฐคาซัคสถาน
แทนที่จะลงพื้นที่ใน
3
จังหวัดชายแดนภาคใต้
ทั้ง ๆ
ที่รับปากว่าจะรีบลงไปแก้ปัญหาในพื้นที่ภาคใต้
การประชุมในครั้งนี้อาจมีความสำคัญ
และมีการนัดหมายมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ระเบิดใน
3
จังหวัดชายแดนภาคใต้
แต่ผมคิดว่าในภาวะเช่นนี้
คนไทยต้องการให้นายกฯ
ลงพื้นที่
3
จังหวัดชายแดนภาคใต้มากกว่า
เพื่อไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เหตุใดปัญหาที่นายกฯ
กล่าวว่ารู้อยู่แล้ว
จึงมีความรุนแรงขนาดนี้
แม้นายกฯ
จะบอกว่าได้ส่งรองนายกฯ
ชิดชัยลงพื้นที่แล้ว
แต่ท่านชิดชัยไม่สามารถแทนนายกฯ
ได้
เพราะอย่างน้อยคนไทยส่วนหนึ่งมั่นใจว่าหากนายกฯ
ยอมรับว่าปัญหาส่วนหนึ่งมาจากตัวท่านเอง
ท่านก็จะแก้ได้ตรงจุด
ที่สำคัญเวลานี้เป็นเวลาดีที่นายกฯ
จะทำให้ความเข้าใจกับประชาชนถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยแสดงความรับผิดชอบต่อวิธีแก้ปัญหาที่ผิดของตน
ดึงมวลชนกลับมาเป็นพวก
ทำให้ประชาชนรู้สึกมั่นใจในตัวผู้นำ
ว่ามีความจริงใจและใส่ใจในการแก้ปัญหาภาคใต้อย่างแท้จริง
รวมถึงเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้ข้าราชการในพื้นที่
มิใช่ให้ข้าราชการเผชิญสถานการณ์โดยลำพัง
|