หากพิจารณาสถานการณ์การเมืองในขณะนี้พบว่า
รัฐบาลพยายามในการแย่งชิงพื้นที่ทางความคิดของประชาชน
โดยอ้างว่าการเลือกตั้งเป็นกติกาประชาธิปไตย
แต่ข้ออ้างดังกล่าวถูกเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น
เพราะละเลยความจริงอีกด้านของความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง นั่นคือ
กระบวนการที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วม มีสิทธิในการแสดงความคิดเห็น
และสามารถแสดงออกถึงจุดยืนทางการเมืองของตนได้ตลอดเวลา
รวมถึงการบรรลุถึงสภาวะของความเท่าเทียม เป็นธรรมของคนในสังคม
โดยอาศัยความเท่าเทียมกันทางการเมืองเพื่อนำไปสู่จุดมุ่งหมายนั้น
ไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือของผู้มีอำนาจที่ใช้อ้างความชอบธรรมในการก้าวขึ้นสู่อำนาจ
การสร้างความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยต่อเด็กและเยาวชนจึงมีความสำคัญ
เนื่องจากในการเลือกตั้งแต่ละครั้งจะมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นครั้งแรกจำนวนหนึ่ง
โดยข้อมูลจากกรมการปกครอง ณ เดือนธันวาคม 2548
พบว่ามีประชากรอายุ
18
ปี จำนวน
896,128
คน
ซึ่งคนกลุ่มนี้จะเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกในปี
2549
นี้
แต่ด้วยเหตุการณ์ทางการเมือง ยังอยู่ในความตึงเครียด
ทำให้เยาวชนส่วนหนึ่งรู้สึกว่า
ขาดทางเลือกในการใช้สิทธิการเลือกตั้งในครั้งนี้
และบางส่วนยังคงเห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องไกลตัว
ด้วยเหตุนี้เด็กและเยาวชนทุกคนควรได้รับการแนะนำเกี่ยวกับเมืองที่ถูกต้องและเหมาะสมกับวัย
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม
และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องก่อนการเข้าร่วมในวิถีประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบ
ตลอดจนเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมกำหนดจุดเริ่มต้นของสังคมประชาธิปไตยแบบเต็มใบ
โดยไม่ถูกชักจูงให้คล้อยตามคำพูด ข้อมูลด้านใดด้านหนึ่งโดยขาดจุดยืน
และความเข้าใจที่ถูกต้อง
ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่
ผู้ปกครอง รวมถึงครู
ควรเป็นผู้ร่วมปลูกฝังวิถีประชาธิปไตยโดยเริ่มต้นจากประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
สอนให้เข้าใจว่าการเมืองเกี่ยวข้องกับตนอย่างไร
เด็กไม่ควรถูกแยกจากการเมือง
โดยมองว่าการเมืองเป็นเรื่องไกลตัว
แต่
แท้จริงแล้วการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของทุกคน
ด้วยเหตุนี้ควรใช้โอกาสที่มีข้อมูล
และสภาพการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
ในขณะนี้
ในการให้คำแนะนำประเด็นทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับสิทธิพลเมืองให้เด็กทราบว่า
เมื่อตนมีอายุครบตามกำหนดการเลือกตั้ง
จะสามารถมีส่วนร่วมกำหนดความเป็นไปของสังคมผ่านทางการใช้สิทธิทางการเมืองได้อย่างไรบ้าง
นอกจากนี้เด็กและเยาวชนควรได้รับการแนะนำว่า
ตนสามารถแสดงความคิดเห็นทางการเมืองผ่านการเขียน ผ่านการพูด
ผ่านการชุมนุมอย่างสงบได้เช่นเดียวกับผู้ใหญ่
รวมถึงมีสิทธิได้รับข้อมูลข่าวสารทางการเมืองที่เป็นจริง
และสิทธิในการรับบริการจากรัฐ
สอนให้รู้จักคิดเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้รับ
แม้ว่าการเมืองจะมีการแบ่งแยกฝ่ายเป็นฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน หรือฝ่ายอื่น ๆ ก็ตาม
แต่ผู้ปกครองไม่ควรชักนำให้เด็กเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป
โดยใส่ข้อมูลและชักชวนสุดขั้ว จนก่อเกิดความเกลียดชังฝ่ายตรงข้าม
เพื่อให้เด็กเห็นคล้อยตามกับฝ่ายที่เราเห็นด้วย
แต่ควรสอนให้เด็กได้เลือกรับข้อมูลจากทุกฝ่ายแล้วนำมาพิจารณาด้วยตนเอง
โดยครูและพ่อแม่ควรเป็นผู้ที่ให้คำแนะนำ และสอนการใช้เหตุผล
หลักในการคิดพิจารณาคำพูด ข่าวสารที่ได้รับจากฝ่ายต่าง ๆ
เพื่อตอบคำถามตามประเด็นที่เด็กสนใจ
สอนให้เข้าใจคุณธรรมจริยธรรมทางการเมือง
ครูในโรงเรียนและครอบครัวนับว่ามีส่วนสำคัญในการสร้างกรอบความคิดแก่เด็กว่า
วิถีทางประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่ทุกคนจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อสังคม
เห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
โดยเฉพาะผู้นำในการบริหาร
ประเทศและนักการเมืองต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมจริยธรรมมากกว่าคนทั่วไป
เพราะผู้ที่มีอำนาจสามารถใช้อำนาจในการให้คุณให้โทษต่อใครก็ได้
และพฤติกรรมของผู้นำยังเป็นแบบอย่างที่ดีหรือไม่ดีให้แก่ประชาชนในประเทศ
ด้วยเหตุนี้การปลูกฝังเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมทางการเมืองจึงมีความจำเป็น
เพราะจะช่วยให้เด็กและเยาวชนมีกรอบในการตัดสินใจเลือกผู้ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ
เมื่อเติบโตขึ้นจนมีสิทธิเลือกตั้ง โดยไม่เลือกเพราะการถูกชักนำตามนโยบายที่สวยหรู
หรือการหยิบยื่นผลประโยชน์ระยะสั้นแก่ประชาชนเท่านั้น
หรือไม่เลือกเพราะคนนั้นมีชีวิตการทำงานที่โดดเด่น แต่กลับขาดคุณธรรม
การสอนวิถีประชาธิปไตย
และวิถีการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ถูกต้อง
ไม่เพียงเป็นการสนับสนุนให้เด็กเข้าใจประเด็นทางการเมือง
ที่สำคัญ ๆ
อย่างถูกต้องเท่านั้น แต่ยังเป็นการปลูกฝังการเรื่องประชาธิปไตยที่แท้จริง
เป็นการสอนให้รู้จักการใช้สิทธิ
การรักษาสิทธิและการแสดงออกทางการเมืองได้อย่างเหมาะสมเมื่อโตขึ้น
และยังเป็นช่องทางหนึ่งที่จะกระตุ้นให้เด็กหันมาสนใจและติดตามข่าวสารความเป็นไปของบ้านเมืองได้ด้วย
--------------------------------------