เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้
เพื่อน ๆ
คงได้รับทราบเกี่ยวกับข่าวการเคลื่อนไหวของสมัชชาคนจน
ที่เข้ามาชุมนุมอยู่หน้ารัฐสภา
ระหว่างวันที่
15-17
มี.ค.48
ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมประกอบด้วย
7
เครือข่าย คือ
1.ปัญหาอันเนื่องมาจากการสร้างเขื่อน
2.กรณีพิพาทกับรัฐเรื่องที่ดินสาธารณะ
3.สลัม
4.ประมงเพื่อนบ้าน
5.ผู้ป่วยจากมลพิษในการทำงาน
6.กรณีป่าไม้ประกาศเขตอุทยาน
7.เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก
โดยสมัชชาคนจนจะจัดตั้งคณะกรรมาธิการภาคประชาชน
ตรวจสอบนโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาความยากจน
และเรียกร้องให้รัฐบาลนำปัญหาของ
7
เครือข่าย
ไปแถลงเป็นนโยบายของรัฐบาล
กล่าวได้ว่า
การเคลื่อนไหวของสมัชชาคนจน
คือการเมืองภาคประชาชน
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในระบอบประชาธิปไตย
ที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองนอกเหนือไปจากการเลือกตั้ง
อาทิ
การเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาในระดับนโยบาย
ความพยามที่จะตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล
ตลอดจนการมีส่วนตัดสินใจในเรื่องที่ส่งผลกระทบกับตนทั้งในเรื่องของสิทธิชุมชน
ปัญหาหนี้สิน
ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ
ฯลฯ
นอกเหนือจากการเมืองในระบบรัฐสภาซึ่งมีความสำคัญต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
แล้ว ถือได้ว่า
การเมืองภาคประชาชนก็มีความสำคัญอย่างยิ่งในระบอบประชาธิปไตยไทย
ที่จะทำให้ประชาชนนั้นมีความเข้มแข็ง
ไม่ได้มุ่งที่จะพึ่งพิงการอุปถัมภ์จากภาครัฐเพียงอย่างเดียว
แต่ประชาชนสามารถที่จะดูแล
พัฒนา
และจัดการปัญหาของตนเองได้
ดังนั้น
หากสังคมไทยมีประชาชนที่มีจิตสำนึกทางการเมืองที่ขยายตัวมากขึ้นดังที่กล่าวมาเบื้องต้นแล้ว
จะทำให้สังคมไทยมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น
ที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมคิด
ร่วมทำ
และร่วมแก้ปัญหาของตนเอง
ตลอดจนเป็นการถ่วงดุลการใช้อำนาจของรัฐให้เกิดความเป็นธรรมต่อประชาชนมากยิ่งขึ้น
|