เมื่อวันที่
17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี
ได้เชิญอธิการบดีมหาวิทยาลัยทั่วประเทศมาพบปะพูดคุยร่วมกันศึกษาวิจัยแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ซึ่งนายกฯ ได้ขอให้อธิการบดีทุกคนกลับไปคิด วิจัย วิเคราะห์
โดยให้เห็นผลภายในสิ้นเดือนเมษายน ซึ่งที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.)
ครั้งที่ 1/2549
มีมติว่าให้แต่ละมหาวิทยาลัยที่มีความพร้อมและสนใจรับเรื่องนี้ไปดำเนินการศึกษาวิจัยเพื่อให้เสร็จทันในระยะเวลาที่กำหนด
แม้ว่าวัตถุประสงค์ของการเชิญอธิการบดีมาประชุมนั้น
จะเป็นการลดกระแสกดดันต่อนายกฯ มากกว่าจะมีความต้องการแก้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง
แต่ทางมหาวิทยาลัยควรใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ในการศึกษาเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างดีที่สุด
ซึ่งผมคิดว่าประเด็นที่น่าสนใจ คือ ประเด็นการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า
90 วันก่อนวันรับสมัครรับเลือกตั้ง
เนื่องจากผมคิดว่ามีความขัดแย้งระหว่างจุดประสงค์ของรัฐธรรมนูญกับการนำไปใช้จริง
รวมทั้งเป็นประเด็นที่สังคมต้องการความชัดเจน และหาข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้
เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ.
2540 มาตรา
107 (4)
ระบุว่า
ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคเดียว
นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน ซึ่งเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในมาตราดังกล่าวมีขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพให้กับรัฐบาล
โดยป้องกันการที่ ส.ส.ย้ายพรรคง่ายเกินไป
แต่ผลที่เกิดขึ้นจากการกำหนดกติกาดังกล่าว
คือ ผู้นำของพรรคการเมืองจะใช้เงื่อนไขนี้เป็นอำนาจต่อรองกับ ส.ส.ภายในพรรคให้ทำตามมติและความเห็นของพรรคทุกอย่าง
โดยไม่ให้ ส.ส.คนใดออกนอกแถว
แต่หาก ส.ส.คนใดออกนอกแถว
ไม่เชื่อฟังหรือทำตามมติของพรรค
การเลือกตั้งครั้งต่อไปอาจไม่ได้รับการเสนอชื่อให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง
อำนาจการต่อรองจึงอยู่กับผู้นำของพรรคการเมือง แต่หาก ส.ส.จะย้ายพรรคก่อนมีการเลือกตั้ง
ส.ส.จะต้องรับความเสี่ยงจากการที่รัฐบาลอาจยุบสภา
ทำให้ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้เช่นกัน
เพราะไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองที่ย้ายไปถึง 90
วัน
แม้มาตราดังกล่าวเป็นเจตนารมณ์ที่ดีของรัฐธรรมนูญ แต่วิธีการกลับมีปัญหา
หากผู้ใช้นำรัฐธรรมนูญไปใช้ไม่ตรงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ต้องการให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ
ไม่ต้องคอยกังวลถึงปัญหาการย้ายพรรคของ ส.ส.
หรือต้องเสียเวลาแก้ปัญหาทางการเมือง แต่นำเวลามาแก้ปัญหาของประเทศได้เต็มที่
แต่ผู้ใช้รัฐธรรมนูญกลับนำไปใช้เพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้กับพรรคการเมือง ทำให้ ส.ส.
ขาดเสรีภาพในการทำหน้าที่เป็นตัวแทนและรักษาผลประโยชน์ของประชาชน
ต้องอยู่ภายใต้การนำของพรรค และรักษาผลประโยชน์ของพรรค
เพราะผู้กำหนดอนาคตทางการเมืองของ ส.ส.เปลี่ยนจากประชาชนเป็นพรรคการเมือง
นอกจากนี้
ผมเกิดคำถามว่าเสถียรภาพทางการเมืองปัจจุบันที่เกิดจากรัฐธรรมนูญ ม.107
(4)
จะเรียกว่ารัฐบาลมีเสถียรภาพได้หรือไม่
แม้ ส.ส.จะไม่ลาออกหรือย้ายพรรค
รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้อย่างต่อเนื่อง
แต่ในความเป็นจริงกลุ่มหรือมุ้งต่าง ๆ
ภายในพรรครัฐบาลต่างพยายามออกมาขย่มเสถียรภาพของรัฐบาลรายวัน
และรอโอกาสที่จะล้มกระดาน เปรียบเหมือนมีศึกอยู่ในบ้านตลอดเวลา
ดังนั้น ประเด็นที่มหาวิทยาลัยน่าจะนำไปศึกษา คือ หากการกำหนดให้ผู้สมัครส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า
90
วัน
เพื่อทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพทางการเมือง และต้องแลกมาด้วยเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันของ
ส.ส.
ทำให้เกิดคำถามต่อว่ามีวิธีการอื่นหรือไม่ ที่จะสร้างเสถียรภาพทางการเมือง
โดยไม่ต้องสูญเสียเสรีภาพของ ส.ส.
และสามารถสร้างเสถียรภาพทางการเมืองได้อย่างแท้จริง