เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา
นายกรัฐมนตรีได้เปิดทำเนียบรัฐบาลเพื่อประชุมการสร้างพันธมิตรเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
โดยมีเอกอัครราชทูตและตัวแทนกว่า 70 ประเทศเข้าร่วม
หัวใจสำคัญของการจัดงานนี้คือการสร้างความร่วมมือลักษณะความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาประเทศ
โดยรัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อพิจารณาเลือกบริษัทที่มีข้อเสนอที่ทีดีที่สุดมาร่วมลงทุนพัฒนาระบบสาธารณูปโภค
เพื่อทำให้ประเทศทันสมัย โดยจะพิจารณาทั้งเชิงเทคโนโลยี
มูลค่าการลงทุนของโครงการควบคู่กับเงื่อนไขทางการเงิน
และข้อเสนอทางการเงินในการแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรของไทย (บาร์เทอร์เทรด)
แนวทางดำเนินการของรัฐบาลครั้งนี้ หลายฝ่ายอาจเห็นว่าเป็นแนวทางที่ดี
และรัฐบาลอ้างว่า วิธีการแลกเปลี่ยนสินค้านั้นจะลดภาระงบประมาณและการขาดดุลการค้า
เพราะแทนที่ประเทศไทยจะมีแต่การนำเข้าวัสดุจากต่างประเทศฝ่ายเดียว
แต่วิธีการนี้จะทำให้ไทยมีการส่งออกสินค้าเกษตรมากขึ้น
ข้ออ้างของรัฐบาลในการดำเนินการเรื่องนี้จึงเป็นการพูดความจริงเพียงด้านเดียว
ความจริงอีกด้านที่รัฐบาลไม่เคยบอก
ระบบบาร์เทอร์เทรดอาจไม่ได้รับความสนใจจากบริษัทเอกชน
การใช้เงื่อนไขของการแลกเปลี่ยนสินค้าการเกษตรนั้น
โดยส่วนใหญ่เป็นการใช้แลกเปลี่ยนระหว่างรัฐกับรัฐ
เนื่องจากเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่ได้เป็นตัวเงินกลับคืนสู่อีกฝ่ายหนึ่ง
ดังนั้นกรณีที่รัฐบาลไทยประกาศว่า
จะให้ความสำคัญกับข้อเสนอทางการเงินแบบการแลกเปลี่ยนสินค้าของบริษัทเอกชนที่จะมาลงทุนนั้น
จึงไม่อาจเป็นเครื่องรับประกันได้ว่า
จะมีบริษัทเอกชนเลือกวิธีการชำระเงินด้วยวิธีการนี้
เนื่องจากไม่เพียงบริษัทเอกชนจะไม่สามารถนำสินค้าที่ไทยชำระแทนเงินไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีแล้ว
ยังมีความยุ่งยากซับซ้อนในเรื่องกระบวนการแลกเปลี่ยนที่อาจต้องใช้วิธีที่ให้รัฐบาลของต่างประเทศหรือบริษัทนายหน้าเข้ามาเป็นคนกลาง
เพื่อสามารถส่งต่อสินค้าการเกษตรเหล่านั้นสู่ภาคเอกชนอื่นที่ต้องการ
และนำเงินมาชำระคืนแก่เอกชนที่เป็นผู้เข้ามาลงทุนต่อไป
ระบบบาร์เทอร์เทรดไม่ได้ช่วยลดภาระงบประมาณและปัญหาดุลบัญชีเดินสะพัด
สมมติว่าบริษัทเอกชนที่ชนะการประมูลยินดีที่จะรับเงื่อนไขนี้
แต่วิธีการดังกล่าวจะไม่ได้ช่วยลดภาระต่องบประมาณของรัฐและไม่ทำให้ดุลการค้าของไทยในภาพรวมดีขึ้นแต่อย่างใด
เหตุผลคือ รัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรด้วยตนเอง
ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงต้องนำเงินที่อาจมาจากงบประมาณแผ่นดินหรือจากการกู้ยืม
เพื่อนำไปซื้อสินค้าเกษตรจากเกษตรกร แล้วนำไปชำระคืนแก่บริษัทที่เข้ามาลงทุน
ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลยังคงต้องจ่ายเงินชำระหนี้เช่นเดิม
วิธีการดังกล่าวยังไม่ทำให้การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยในภาพรวมเพิ่มขึ้นมากนัก
เนื่องจากการชำระหนี้ด้วยสินค้าเกษตรนี้
ไม่ช่วยทำให้ความต้องการสินค้าเกษตรของไทยเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
แต่เป็นเพียงการย้ายช่องทางการจำหน่ายสินค้าจากการที่ผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรของไทยส่งออกด้วยตนเอง
เป็นการที่รัฐบาลเป็นนายหน้าที่ช่วยส่งออกแทนเท่านั้น
การกระทำเช่นนี้ของรัฐบาลจึงเป็นเสมือนการเป็นเซลล์แมนที่ไม่ดี
กล่าวคือพยายามทำในทุกวิถีทางเพียงเพื่อให้ปิดการขายได้สำเร็จ
ดังเช่นรัฐบาลที่พยายามเรียกความเชื่อมั่น ศรัทธาจากประชาชนคืนมา
โดยให้ข้อมูลเพียงด้านเดียว แต่ข้อมูลอีกด้านหนึ่งกลับไม่ได้พูดถึง