 |
|
 |
 |
|
 |
ขอคิดอย่างสร้างสรรค์ |
|
เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ถ้าเพื่อน ๆ
จำกันได้
เมื่อวันที่ 4
พฤษภาคม 2548
ในการประชุมสภาสมัยสามัญ
วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม
ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. 2548
ผมได้ขอแปรญัตติโดยแก้ไขความในมาตรา
6 ซึ่งระบุว่า
ให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
โดยตัดนายกฯ
ออกจากการรักษาการตาม
พ.ร.บ.นี้
หรือแก้เป็น
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
โดยมีเหตุผลว่า
แม้นายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาการร่วมกันตาม
พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ
พ.ศ.2502
แต่การที่นายกฯเป็นผู้รักษาการตาม
พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายฯ
เป็นการไม่เหมาะสม
ในประเด็นดังกล่าว
นายวราเทพ
รัตนากร
รองประธานกรรมาธิการวิสามัญ
พิจารณาร่าง
พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี
และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
ได้ชี้แจงว่า
การให้นายกฯ
รักษาการตาม
พ.ร.บ.นี้มีความเหมาะสม
เพราะเป็นไปตาม
พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ
พ.ศ.2502
โดยอ้างอิงตามความเห็นของสำนักงานกฤษฎีกา
ตามหนังสือ
เลขที่ นร
0901/0068
ลงวันที่ 15
มกราคม 2547
ผมคิดว่า
การอ้างความเห็นของสำนักงานกฤษฎีกาเป็นสรณะในการตัดสินใจว่า
ควรให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการร่วมกับ
รมว.กระทรวงการคลังนั้น
ถือเป็นการแสดงความลื่นไหลของรัฐบาล
เพราะไม่ได้ตอบอย่างชัดเจนว่า
ใช้มาตรฐานหรือเหตุผลใดในการเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อความเห็นของกฤษฎีกา
เพียงยกกฤษฎีกาในประเด็นที่สนับสนุนตนมาใช้อ้างเท่านั้น
ทั้ง ๆ
ที่ในความเป็นจริง
หากย้อนกลับไปดูพฤติกรรมในอดีต
สิ่งที่รัฐบาลทำคือ
ไม่ได้ยึดความเห็นของกฤษฎีกาเป็นหลัก
แต่
เลือกที่จะเชื่อ
และ
เลือกที่จะไม่เชื่อ
ตามความเห็นของตนเอง
อาทิ
รัฐบาลเลือกที่จะเชื่อความเห็นของกฤษฎีกาว่าถูกต้องและเหมาะสม
ในเรื่องการให้นายกฯ
รักษาการ พ.ร.บ.
งบประมาณรายจ่าย
ฯ
แต่ในกรณีของที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์
รัฐบาลกลับเพิกเฉยต่อการให้ความเห็นของกฤษฎีกา
ทั้ง ๆ
ที่คำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา
ให้เพิกถอนสารสิทธิ์สนามกอล์ฟอัลไพน์
เพื่อให้ตกเป็นที่ธรณีสงฆ์
นอกจากนี้
จากการศึกษาประวัติศาสตร์ของการกำหนดวิธีการงบประมาณ
เพื่อสืบค้นว่าเหตุใด
พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ
พ.ศ.2502
จึงกำหนดให้มีผู้รักษาการ
2 ท่าน พบว่า
กฎหมายฉบับดังกล่าวร่างขึ้นในช่วงเวลาที่จอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์
เป็นนายกรัฐมนตรี
ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นยุคเผด็จการทางทหาร
และมีความต้องการให้ฝ่ายบริหารมีความเข้มแข็ง
(strong
executive) จอมพลสฤษดิ์จึงได้จัดตั้งสำนักงบประมาณขึ้นเป็นครั้งแรก
เพื่อทำหน้าที่ในการใช้จ่ายและจัดทำงบประมาณแทนกระทรวงการคลัง
และกำหนดให้สำนักงบประมาณอยู่ภายใต้โครงสร้างของสำนักนายกรัฐมนตรีตั้งแต่นั้นมา
ทำให้นายกฯกลายเป็นผู้รักษาการตาม
พ.ร.บ.งบประมาณฯ
ในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงบประมาณ
ดังนั้น
หากพิจารณาโดยยึดความถูกต้องในเชิงกฎหมายเพียงประการเดียวแล้ว
การให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตาม
พร.บ.งบประมาณฯ
ถือว่าถูกต้องตามกฎหมายซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากยุคเผด็จการ
แต่หากพิจารณาในเชิงความเหมาะสมแล้ว
ครั้งหนึ่ง
ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์
ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณคนแรกได้เคยตั้งข้อสังเกตไว้เมื่อกว่า
30
ปีที่ผ่านมาว่า
สำนักงบประมาณไม่ควรขึ้นอยู่ที่สำนักนายกรัฐมนตรี
สมควรที่จะขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลัง
เพราะเหตุว่า
ไม่ว่าที่ไหน ๆ
ทั้งสิ้น
ถ้าผู้ใดมีหน้าที่ความรับผิดชอบในการที่จะหาเงิน
ก็ควรจะมีหน้าที่รับผิดชอบในทางจ่ายเงิน
จึงจะสมดุลกัน
ข้อสังเกตดังกล่าวสอดคล้องกับเนื้อหาของการแปรญัตติที่ผมได้เสนอว่า
ไม่ควรให้นายกฯ
รักษาการตาม
พ.ร.บ.
งบประมาณรายจ่ายฯ
เนื่องจากเหตุผลที่นายกฯ
เข้ามารักษาการ
พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้นั้น
เป็นไปตามเงื่อนไขของการที่สำนักงบประมาณขึ้นตรงอยู่กับสำนักนายกฯ
แต่ตามหลักการควรจะเป็นคือ
การให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาการ
เพราะเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องของการหาเงินอยู่ควรมีหน้าที่ควบคุมในการใช้จ่ายเงินด้วย
และไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน
เนื่องจากรัฐบาลปัจจุบันเป็นรัฐบาลพรรคเดียวที่มีเสียงท่วมท้นจนฝ่ายค้านไม่สามารถอภิปรายนายกรัฐมนตรีได้
ฝ่ายบริหารจึงมีอำนาจเข้มแข็งมากอยู่แล้ว
การให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตารม
พ.ร.บ.งบประมาณฯ
จะยิ่งทำให้เกิดการใช้อำนาจโดยปราศจากการตรวจสอบถ่วงดุล
เป็นอันตรายต่อเสถียรภาพการคลังของประเทศ
อย่างไรก็ตาม
การที่จะหาคำตอบของประเด็นคำถามที่
ดร.ป๋วย
ได้เปิดประเด็นไว้ว่า
สำนักงบประมาณควรขึ้นตรงกับกระทรวงใด
ระหว่างสำนักนายกรัฐมนตรี
หรือกระทรวงการคลัง?
และคำถามที่ผมได้เปิดประเด็นว่า
นายกรัฐมนตรีควรรักษาการตาม
พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือไม่?
มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ที่จะต้องได้รับการศึกษาในแง่มุมต่าง
ๆ อย่างครบถ้วน
โดยมิได้ยึดบทบัญญัติของ
พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณฯ
หรือโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดิน
เพื่อเป็นช่องในการเอื้อประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง
แต่มีเป้าหมายเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศโดยส่วนรวมเป็นสำคัญ
เพื่อน ๆ
มีความคิดเห็น
หรือข้อเสนอแนะอย่างไรต่อประเด็นดังกล่าว
หรือมีความคิดเห็น
หรือข้อเสนอแนะในประเด็นอื่น
ๆ
สามารถเสนอความเห็นผ่านทาง
E-mail
ของผมได้ครับ
|
|
|
|
|
|
|
 |
|
|
|
|
 |
 |
|