เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
แผนลงทุนเมกะโปรเจกต์
มีความน่าสงสัยว่า รัฐบาลให้ข้อมูลขาดดุลฯไม่ครบถ้วน
เร่งลงทุนปีสุดท้ายหวังคะแนนเสียง และมาตรการลดขาดดุลฯเป็นไปไม่ได้จริง
จากมติ ครม. วันที่
14 มิ.ย. 2548
ที่ได้รับทราบแผนการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ (Mega-project)
ของกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของโครงการต่อเศรษฐกิจมหภาค
ซึ่งผมมีข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับแผนดังกล่าว
จงใจให้ข้อมูลการขาดดุลฯไม่ครบถ้วน?
จากมติ
ครม.ที่เผยแพร่ในเวปไซต์ของรัฐบาล
(thaigov.go.th)
และจากข่าวที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์
ได้ระบุถึง
ผลกระทบของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ว่า
จะมีผลทำให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเฉลี่ยร้อยละ
1.6 ในช่วง 5 ปี
(2548-2552)
ซึ่งเป็นไปตามที่กระทรวงการคลังได้เคยยืนยันว่า
จะรักษาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดให้ไม่เกินร้อยละ
2
ของจีดีพี
แต่ผมได้พบความจริงว่า
ผลการวิเคราะห์ของกระทรวงการคลังได้ระบุการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในปี
2550-2552
ที่ร้อยละ
2.04,
3.29
และ
2.15 ตามลำดับ ผมจึงขอตั้งข้อสังเกตว่า
เหตุใดรัฐบาลจึงไม่ให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน
มีความจงใจปกปิดข้อมูลเพื่อรักษาภาพพจน์
แต่ไม่ได้พยายามรักษาคำพูดหรือไม่
เร่งลงทุนก่อนเลือกตั้ง?
ในประเด็นที่ต่อเนื่องกัน จากการพิจารณาวงเงินลงทุนในแต่ละปี
พบว่าเงินลงทุนในเมกะโปรเจกต์ในปี 2551
มีวงเงินสูงที่สุดในตลอด 5 ปีของการลงทุน
ผมจึงเกิดคำถามขึ้นในใจว่า เหตุใดแผนการลงทุนในเมกะโปรเจกต์ จึงใช้เงินลงทุนสูงสุดในปี
2551 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาล
และเป็นปีก่อนการเลือกตั้งทั่วไป ทั้งที่สามารถกระจายเงินลงทุนออกไปยังปีอื่น ๆ
ได้ และยังทำให้ไม่เกิดแรงกดดันต่อดุลบัญชีเดินสะพัด
ซึ่งผลการศึกษาของกระทรวงการคลัง พบว่า ปี 2551 เป็นปีที่ขาดดุลสูงที่สุดในตลอด 5 ปีเช่นกัน
รัฐบาลมีแรงจูงใจทางการเมือง มากกว่าการรักษาผลประโยชน์ของชาติหรือไม่
แก้ขาดดุลฯเป็นไปได้จริง?
ประเด็นสุดท้ายที่ผมขอตั้งข้อสังเกต รัฐบาลได้เคยยืนยันว่า
หากขาดดุลฯเกินร้อยละ 2 ของจีดีพี
จะชะลอหรือเลื่อนโครงการที่มีความสำคัญน้อยออกไปก่อน รวมทั้งใช้วิธีการควบคุมสัดส่วนการนำเข้า
ผมจึงเกิดความสงสัยว่า หากโครงการต่าง ๆ ได้ดำเนินการไปแล้ว
โดยได้มีการลงนามในสัญญากับผู้รับเหมาภาคเอกชนไปแล้ว การชะลอโครงการ
เลื่อนโครงการออกไป หรือไปควบคุมการนำเข้าของโครงการเหล่านั้น จะเป็นไปได้อย่างไรในภาคปฏิบัติ
เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงสัญญา ซึ่งทำให้ผู้รับเหมามีต้นทุนสูงขึ้น
ผู้รับเหมาอาจไม่ยอมทำตามคำขอของรัฐบาล หรือเรียกร้องค่าเสียหายจากรัฐ นอกจากนี้
หากรัฐบาลรู้ว่า สามารถใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศทดแทนได้
เหตุใดจึงไม่กำหนดในสัญญาตั้งแต่ก่อนทำสัญญา
ประเด็นเหล่านี้เป็นคำถามที่ผมตั้งเป็นข้อสังเกต ที่อยากให้มิตรสหายช่วยกันติดตามและตรวจสอบโครงการลงทุนขนาดใหญ่อย่างใกล้ชิด
ในการนี้คณะอนุกรรมาธิการเพื่อพิจารณาศึกษาเกี่ยวกับเศรษฐกิจมหภาคและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
กำลังเตรียมการสัมมนาเกี่ยวกับเมกะโปรเจกต์ขึ้น ในวันที่
1 กรกฎาคม 2548 เวลา
9.30-12.00 น ที่อาคารรัฐสภา 2 หากมิตรสหายท่านใดสนใจเข้าร่วมสัมมนา
สามารถสอบถามรายละเอียดการสัมมนาผ่านมาทาง E-mail
ของผมได้ครับ
|