เมื่อวันที่ 11 ม.ค.
49
ท่านนายกฯได้เชิญกลุ่มนักธุรกิจเข้ามาฟังการประเมินภาวะเศรษฐกิจในปี 2548
และแถลงนโยบายเศรษฐกิจในปี 2549
เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักธุรกิจที่มาเข้าร่วมประชุม
แต่จากการรับฟังข้อมูลการแถลงของท่านนายกฯเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจปี 2548
ผมมีข้อสังเกตดังต่อไปนี้
การประเมินเศรษฐกิจปี 48
เข้าข้างตัวเอง
นายกฯ
ได้อ้างว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลที่ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง
เพราะได้ออกมาตรการดันเศรษฐกิจให้ขึ้นมาใหม่ได้
แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังของปี 48
ขยายตัวขึ้นนั้น เนื่องจาก 1)
การหยุดการแทรกแซงราคาน้ำมัน 2) เป็นการขยายตัวตามฤดูกาล
เพราะทุกปีครึ่งปีหลังจะขยายตัวมากกว่าครึ่งปีแรก 3) การส่งออกที่ขยายตัวในช่วงไตรมาส
3 เนื่องจากการขยายตัวตามวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์
ทำให้ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นมาก 4)
ปัจจัยลบต่าง ๆ คลี่คลายลง เช่น ภัยแล้งคลี่คลาย ผลกระทบจากสึนามิคลี่คลาย
ขณะที่รัฐบาลไม่ได้ทำอะไรที่ชัดเจน
ดุลบัญชีเดินสะพัดน่าวิตก
การที่นายกฯ
บอกว่าพอใจกับการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เป็นคำพูดที่แปลกมาก
เพราะหากพิจารณาเปรียบเทียบกับ 28
ประเทศในเอเชีย
ไทยเป็นประเทศที่ดุลบัญชีเดินสะพัดต่ำกว่าตัวเลขประมาณการณ์เมื่อต้นปี 2548
มากที่สุด
ประเทศที่เหลือส่วนใหญ่มีดุลบัญชีเดินสะพัดที่ดีขึ้นหรือเท่าเดิม และมีเพียง 6
ประเทศที่ดุลบัญชีฯแย่กว่าประมาณการณ์ การที่นายกฯ
อ้างว่าจ่ายค่าน้ำมันแพงขึ้นทำให้ดุลบัญชีฯแย่
จึงไม่เป็นความจริงทั้งหมด เพราะประเทศอื่น ๆ
ที่ไม่ได้เป็นผู้ผลิตน้ำมันล้วนประสบปัญหาราคาน้ำมันเช่นเดียวกัน
แต่กลับไม่มีปัญหาขาดดุลฯมากเท่ากับเท่ากับประเทศไทย
จึงอาจกล่าวได้ว่ารัฐบาลบริหารเศรษฐกิจได้แย่ที่สุดในเอเชีย!!
ภาวะการจ้างงานเต็มที่
(Full employment) ไม่เป็นความจริง
การที่นายกฯ บอกว่า 3
ไตรมาสที่แล้วมีอัตราการว่างงานร้อยละ
1 กว่า ๆ และไตรมาสล่าสุดมีอัตราการวางงานร้อยละ
1.3 เท่านั้น ตัวเลขดังกล่าวไม่ตรงกับตัวเลขของสำนักงานสถิติฯ
ที่ระบุว่า ไตรมาสที่ 1 ปี 48 อัตราการว่างงานเฉลี่ยร้อยละ
3.0 ไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 2.96
และไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 1.2
เฉลี่ย 3 ไตรมาส มีอัตราการว่างงานร้อยละ 2.37
และจะอ้างว่าเป็นการจ้างงานเต็มที่ได้ไม่เต็มปาก
เนื่องจากมีแรงงานที่มีชั่วโมงการทำงานต่ำกว่า 35
ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือการทำงานต่ำระดับถึงร้อยละ
17.6 ของกำลังแรงงาน
นอกจากนี้การนำตัวเลขการว่างงานมาชี้วัดว่าเศรษฐกิจดีนั้นไม่เหมาะสม
เพราะตลาดแรงงานไทยมีความยืดหยุ่นสูงแม้ในยามวิกฤตเศรษฐกิจปี 40
อัตราการว่างงานไม่ได้สูงมาก
เพราะเรามีภาคเกษตรรองรับ และมีเศรษฐกิจนอกระบบที่มีขนาดใหญ่
การพูดในวันนั้นของนายกฯ เป็นการพูดเพียงด้านเดียว เพื่อเอาดีใส่ตัวเอง
เนื่องจากวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการจัดงานครั้งนี้
เพื่อเรียกความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลกลับคืนมา เนื่องจากคะแนนนิยมของรัฐบาลตกต่ำ
และความแตกแยกในพรรครัฐบาล ตลอดจนแก้ไขประเด็นที่รัฐบาลถูกโจมตี เช่น
FTA ไทย-สหรัฐ
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ แต่จะสามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้หรือไม่
อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่เพียงคำพูดเท่านั้น