จากการที่นายกฯ ได้จัดงานแถลงทิศทางนโยบายเศรษฐกิจปี 2549
โดยใช้ชื่องานว่า ทิศทางและนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลในปี
2549 โดยเชิญนักธุรกิจเข้ามาฟังคำแถลง ณ ทำเนียบรัฐบาล
เมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา
ผมมีข้อสังเกตเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจ ทิศทางในปี 2549
ที่ท่านนายกฯ ได้แถลงดังนี้
นโยบายขายฝัน ขาดความเป็นไป
นโยบายเศรษฐกิจที่นายก ฯ ประกาศนั้น
มีลักษณะเป็นแนวคิดว่า นายกฯ อยากจะทำอะไรในปีนี้
แต่ไม่มีหลักประกันว่า รัฐบาลจะทำให้สำเร็จได้อย่างไร
ไม่มีกรอบเวลา วัดผลไม่ได้ว่าจะเสร็จเมื่อไร ไม่มีผลการศึกษาว่าเป็นไปได้หรือไม่
คุ้มค่าหรือไม่
การวาดวิสัยทัศน์ของนายกฯ จึงอาจไม่สามารถทำให้ภาคเอกชนเกิดความเชื่อมั่นได้
ในอดีตมีนโยบายจำนวนมากที่รัฐบาลไม่ได้ทำให้เกิดขึ้นจริง
เช่น การประกาศว่าจะสร้างเมืองราชการที่นครนายก
การพัฒนาพื้นที่รอบสนามบินให้เป็นนครสุวรรณภูมิ
บางนโยบายมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายตลอดเวลา
โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจกต์ เช่น รถไฟฟ้า ลักษณะของนโยบายมีการเปลี่ยนแปลงรายวัน
อีกทั้งบางนโยบายขาดความจริงจัง
เช่น การขาดแคลนเอธานอล ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เพราะผู้ผลิตไม่กล้าที่จะลงทุน
ไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะสนับสนุนการผลิตเอธานอลอย่างจริงจัง
ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้นักลงทุนไม่สามารถมั่นใจว่า
รัฐบาลจะดำเนินการเรื่องนี้จริงจังหรือไม่ หากยังไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรมเช่นนี้
นโยบายสะเปะสะปะ ขาดบูรณาการ
รัฐบาลชุดนี้แสดงตัวว่าต้องการทำทุกอย่างพร้อมกัน
ขาดยุทธศาสตร์ในการดำเนินการ ไม่ได้เรียงลำดับความสำคัญ
ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ การทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง
(hub) แทบทุกอย่าง ที่ผ่านมา
รัฐบาลประกาศไว้อย่างน้อย 46 ฮับ สะท้อนว่า นายกฯ
กำหนดวิสัยทัศน์สะเปะสะปะ ตัวอย่างถัดมา คือ เมกะโปรเจกต์ หรือที่นายกใช้คำใหม่ว่าmodernization
การดำเนินการที่ผ่านมา ไม่ได้มีการจัดลำดับความสำคัญ
รัฐบาลไม่สามารถตอบได้ว่า มีเหตุผลในการแบ่งงบประมาณในโครงการต่าง ๆ อย่างไร
หรือจะทำโครงการใดก่อน-หลัง
สำหรับภาพรวมของนโยบายที่นายกฯ
ประกาศเมื่อวันที่ 11 ม.ค.นั้น
ผมยังไม่เห็นว่า
มีความสอดคล้องกับทิศทางนโยบายเดิมอย่างไร เช่น การเป็นฮับทุกด้าน สอดคล้องกับ
Global Niche ที่เน้น 5 อุตสหากรรมอย่างไร
อุตสาหกรรมที่เป็นพระเอกในแต่ละจังหวัด สอดคล้องกับ OTOP
อย่างไร ทิศทางเศรษฐกิจที่นายกฯ
แถลงนั้นจึงดูเหมือนว่า นายกฯ คิดอะไรได้ ก็นำมาเป็นนโยบาย แต่ขาดการบูรณาการ
ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งที่นายกฯ
ไม่ได้ให้ความสำคัญคือการพัฒนาคน
เพราะเน้นไปที่การลงทุนด้านฮาร์ดแวร์
อาทิ การแจกเอกสารสิทธิ์ที่ดิน นำเครื่องจักรไปให้ นำสมาร์ทการ์ดมาใช้
เน้นสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ การนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
ซึ่งผมไม่ได้ปฏิเสธการพัฒนาสิ่งเหล่านี้
แต่พฤติกรรมที่ผ่านมารัฐบาลไม่เอาใจใส่เกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษา
และการพัฒนาด้านการวิจัยและพัฒนา
ซึ่งจะทำให้การนำพาประเทศไปสู่เศรษฐกิจฐานความรู้ ตามที่นายกฯต้องการนั้น
จึงเป็นเรื่องยาก
พฤติกรรมเช่นนี้จึงเป็นเครื่องบ่งชี้อีกอย่างหนึ่งว่า นายกฯ
ไม่ได้มองการพัฒนาประเทศอย่างเป็นองค์รวม
เป็นการแถลงนโยบายโดยหวังผลเพียงเพื่อเรียกศรัทธา ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลคืนมา
ซึ่งมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างชัดเจน ขัดแย้งกับที่นายกฯเคยกล่าวว่า
จะไม่เล่นการเมืองจนกว่าจะถึงปี
2551