Go www.kriengsak.com

ประวัติ

ครอบครัว

งานวิชาการ

กิจกรรม

Press

Contact us

ค้นหา

 

ขอคิดอย่างสร้างสรรค์

กฟผ.ไม่ได้เข้าตลาดหุ้น ทำให้ขาดสภาพคล่องทางการคลังอย่างไร
By not joining the stock market, how does EGAT reduce fiscal liquidity?

 

15 ธันวาคม 2548

 

เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก

จากที่มีรายการภาคเช้า ณ สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ที่มีผู้ดำเนินรายการชายอาวุโส 2 ท่าน ได้กล่าวพาดพิงถึงผมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า การขายหุ้น กฟผ. นั้นรายได้มิได้เข้าเงินคงคลัง และบอกว่า การที่ผมกล่าวว่า การขายหุ้น กฟผ. เชื่อมโยงกับการออกตั๋วเงินคลัง 8 หมื่นล้านนั้น ไม่เป็นความจริง รวมทั้งใช้คำพูดที่ดูถูกผมและสถาบันที่ผมจบการศึกษา ผมคิดว่า พิธีกรทั้งสองท่านนั้นเข้าใจสิ่งที่ผมพูดผิดอย่างสิ้นเชิง เขาฟังไม่ได้ศัพท์ แต่จับมากระเดียด และเถียงด้วยเหตุผลไม่ได้ จึงโจมตีตัวบุคคลให้ดูไม่น่าเชื่อถือ

แท้ที่จริง ผมพูดว่า “การที่รัฐบาลขาดรายได้จากการขาย กฟผ. ทำให้ขาดสภาพคล่องทางการคลัง” ผมไม่ได้พูดว่า “ขาดเงินเข้าเงินคงคลัง” แต่พิธีกรทั้งสอง กลับไปเชื่อมโยงว่า ขาย กฟผ.ไม่ได้ ทำให้ไม่มีเงินเข้าเงินคงคลัง

หากเราเปรียบรัฐบาลเป็นเหมือนครอบครัวหนึ่ง รายรับ คือ เงินเดือนของพ่อแม่ และเงินกู้, รายจ่าย คือ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในบ้าน, เงินคงคลัง คือ เงินฝากของครอบครัว ขณะที่การขาดสภาพคล่อง สามารถเทียบได้กับปัญหาเงินช็อตในบ้าน ซึ่งอาจเกิดได้จากรายได้ในบ้านหายไป เช่น พ่อตกงาน รายจ่ายในบ้านเพิ่มขึ้น (เช่น ช่วงเปิดเทอมของลูก) หรือเงินฝากของครอบครัวเหลืออยู่น้อย ดังนั้น สภาพคล่องของการคลังจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินคงคลังเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับทั้งรายรับและรายจ่ายของรัฐบาลด้วย

แม้ว่าเงินที่ได้จากการขายหุ้น กฟผ.จะอยู่ที่ กฟผ.ไม่ได้นำมาเข้าเงินคงคลังโดยตรง แต่การชะลอการขายหุ้น กฟผ. จะกระทบต่อสภาพคล่องของรัฐบาลผ่านทางรายรับและรายจ่ายของรัฐบาล โดยเหตุผลที่การขายหุ้น กฟผ. มีผลกระทบต่อสภาพคล่องของรัฐบาลมีดังนี้

การเข้าตลาดหุ้นของ กฟผ. มีผลต่อรายรับของรัฐบาลโดยทางอ้อม กล่าวคือ กฟผ. จะมุ่งทำกำไรมากขึ้น ดังเช่นกรณีของ ปตท. ที่ทำกำไรสูงมาก ในฐานะที่กระทรวงการคลังยังถือหุ้นใหญ่อยู่ น่าจะได้รับเงินที่หักจากรายได้ของ กฟผ.เข้าคลังมากขึ้น นอกจากนี้ หาก กฟผ. ไม่ได้เข้าตลาดหุ้น หมายความว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ จะหยุดชะงักตามไปด้วย ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลจึงขาดโอกาสที่จะได้รับเงินมากขึ้นจากการหักรายได้ของรัฐวิสาหกิจเหล่านั้นเข้าคลัง

การเข้าตลาดหุ้นของ กฟผ. มีผลต่อรายจ่ายของรัฐบาลโดยทางอ้อม แผนการระดมทุนเบื้องต้นของโครงการเมกะโปรเจกต์มาจาก 3 ส่วน ได้แก่ งบประมาณแผ่นดิน เงินกู้ และกำไรจากรัฐวิสาหกิจ ดังนั้นการชะลอการขายหุ้น กฟผ.จะทำให้ กฟผ.และรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ ที่เข้าคิวแปรรูปต่อจาก กฟผ.ไม่ได้มีผลกำไรสูงดังที่รัฐบาลคาดหวังไว้ แต่รัฐบาลได้ประกาศเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจกต์เต็มสูบ ปัญหาคือรัฐบาลจะนำเงินลงทุนมาจากแหล่งใด หากไม่ใช่จากการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินมากขึ้น หรือจากการกู้ซึ่งจะทำให้รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้มากขึ้น

ถึงแม้ว่ารัฐบาลอาจจะให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุน โดยการให้สัมปทานก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ แต่จากคำพูดของนายกรัฐมนตรีในรายการ ‘นายกทักษิณคุยกับประชาชน’ ได้กล่าวถึงแนวคิดการปลูกยางแลกรถไฟฟ้า ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลอาจจะต้องใช้จ่ายงบประมาณมากขึ้นเพื่อลงทุนผลิตสินค้าที่จะนำไปแลกรถไฟฟ้า หรืออาจสั่งการให้หน่วยงานของรัฐลงทุนผลิตสินค้ามากขึ้นเพื่อไปแลกรถไฟฟ้า แต่หน่วยงานนั้นจะไม่ได้รับรายได้จากการลงทุนดังกล่าว เพราะเป็นการนำสินค้าแลกกับรถไฟฟ้า ซึ่งหมายความว่ารัฐจะขาดโอกาสได้รับรายได้เข้าคลังจากหน่วยงานนั้นๆด้วย
นอกจากนี้ เงินจากการขายหุ้นนั้นแม้จะยังอยู่ที่ กฟผ. แต่รัฐบาลสามารถควบคุมการใช้เงินก้อนนี้ได้ โดยผ่านนโยบายของรัฐบาลและมติคณะรัฐมนตรี รวมถึงการที่รัฐบาลมีแผนจะจัดตั้งบรรษัทรัฐวิสาหกิจแห่งชาติขึ้นมาเพื่อบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจทั้งระบบ ซึ่งอาจเป็นการรวมศูนย์การบริหารรายได้และการลงทุนรัฐวิสาหกิจทั้งระบบด้วย ซึ่งหมายความว่ารายได้และผลกำไรของ กฟผ.อาจจะนำไปใช้ในโครงการอื่น ๆ นอกเหนือจากอำนาจหน้าที่ของ กฟผ.ได้ด้วย ดังนั้นรัฐบาลอาจจะนำรายได้และกำไรของรัฐวิสาหกิจมาใช้ในโครงการของรัฐบาล ซึ่งช่วยลดภาระรายจ่ายงบประมาณ ทำให้สภาพคล่องทางการคลังดีขึ้นได้

กล่าวโดยสรุป เมื่อรัฐบาลไม่สามารถขายหุ้น กฟผ.ได้ จึงขาดรายได้ที่คาดว่าจะได้รับจากผลกำไรของ กฟผ. แต่รายจ่ายที่ต้องใช้ในโครงการประชานิยมต่าง ๆ ยังคงมีอยู่ นี่จึงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งของการขาดสภาพคล่องทางการคลัง ที่รัฐบาลกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน