Go www.kriengsak.com

ประวัติ

ครอบครัว

งานวิชาการ

กิจกรรม

Press

Contact us

ค้นหา

 

ขอคิดอย่างสร้างสรรค์

เหตุมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ พาณิชย์ฉุดราคาไม่อยู่

 

15 กรกฏาคม 2548

 

เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก     

รัฐจะตรึงราคาสินค้าไม่อยู่ เพราะมาตรการรัฐกระทบต้นทุน เสนอให้แฉสินค้าที่ฉวยโอกาสขึ้นราคา สร้างเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคในชุมชน และลดภาษีผู้ผลิตสินค้าจำเป็น

ผลกระทบจากมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในระยะสั้นของรัฐบาล จะทำให้ต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รัฐบาลจึงควรจัดการอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย

ตามที่กรมการค้าภายในจะขอความร่วมมือตรึงราคาสินค้า และให้ข่าวว่า การขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ ขึ้นเงินเดือนราชการ และลอยตัวราคาดีเซล ไม่ใช่ข้ออ้างที่ผู้ประกอบการจะปรับขึ้นราคาสินค้าโดยเด็ดขาด เพราะคาดการณ์เงินเฟ้อตลอดทั้งปีจะอยู่ที่ 3.8%นั้น ผมเห็นว่า ในภาคปฏิบัติทำไม่ได้จริง และการไม่ให้ขึ้นราคาสินค้าจะไม่เป็นธรรมต่อผู้ผลิต เนื่องจากมาตรการของรัฐมีผลต่อต้นทุนของผู้ผลิตโดยตรง โดยเฉพาะการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ทำให้ผู้ผลิตจะไม่ให้ความร่วมมือในการตรึงราคา ณ ระดับเดิม

ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเลขเงินเฟ้อ 3.8% เป็นการคาดการณ์เดิมที่ สศช. ประเมินไว้ในกรณีที่ไม่มีมาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจระยะสั้น แต่จากการที่ผมได้วิเคราะห์ด้วยแบบจำลองคณิตศาสตร์พบว่า ลำพังการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 6 บาท จะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีก 0.4% จากการคาดการณ์เดิมแล้ว หากรวมผลกระทบของมาตรการอื่น ๆ ด้วย เงินเฟ้อจะยิ่งสูงกว่านั้นอีก

ส่วนการปรับขึ้นราคาดีเซล แม้ไม่มีผลโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตสินค้าบางประเภท เพราะโรงงานส่วนหนึ่งใช้น้ำมันเตา แต่การขึ้นราคาน้ำมันดีเซลทำให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อราคาสินค้าแทบทุกประเภท ขณะที่การขึ้นเงินเดือนข้าราชการ แม้ไม่มีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าโดยตรง แต่จะทำให้ความต้องการสินค้าโดยรวมเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ผมมีข้อพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ดังนี้

ประการแรก…ราคาสินค้าที่เหมาะสมและสมจริงที่สุด คือราคาตามกลไกตลาดโดยไม่มีการบิดเบือนโก่งราคา  การควบคุมราคาโดยขอความร่วมมือนั้น ผมคิดว่าไม่สมจริงในทางปฏิบัติ เพราะผู้ผลิตจะไม่ยอมขาดทุนเพราะเห็นแก่สังคม แต่หากกรมการค้าภายในพิจารณาข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบและเป็นไปตามหลักวิชาการแล้ว พบว่า มีผู้ผลิตหรือกลุ่มผู้ผลิตที่ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าหรือลดคุณภาพของสินค้าจริง นอกเหนือจากการใช้มาตรการทางกฎหมายแล้ว ควรใช้มาตรการการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนทราบ เพื่อให้ประชาชนมีข้อมูลอย่างครบถ้วนในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าดังกล่าว

ประการสอง…กรมการค้าภายในควรใช้ช่องทางต่าง ๆ ให้ข้อมูลราคาสินค้าแก่ประชาชน เช่น กำหนดให้ผู้ผลิตต้องติดป้ายราคา การประกาศรายชื่อสินค้าที่ขึ้นราคาอย่างไม่เป็นธรรม การเชื่อมโยงฐานข้อมูลของกรมการค้ากับเครือข่ายของห้างร้านต่าง ๆ เพื่อเปิดจุดให้บริการตรวจสอบราคาสินค้าแก่ประชาชน

ประการสาม…ควรส่งเสริม/สนับสนุนให้มีการตั้งกลุ่มหรือชมรมคุ้มครองผู้บริโภคในแต่ละชุมชน เพื่อให้ผู้บริโภคมีส่วนตรวจสอบ และเผยแพร่ข้อมูลผู้ผลิตและจัดจำหน่ายที่เอารัดเอาเปรียบ เพื่อคุ้มครองสิทธิของตนเองในเบื้องต้นก่อน และทำหน้าที่เป็นเครือข่ายของกรมการค้าฯ ที่ทำหน้าที่ร้องเรียนปัญหามายังกรมการค้าฯด้วย โดยอาจจะกำหนดให้มีรางวัลนำจับสำหรับผู้ที่แจ้งข้อมูลแก่กรมการค้า

ประการสุดท้าย…หากรัฐต้องการลดภาระของประชาชน ควรใช้มาตรการด้านอุปทาน ซึ่งจะไม่ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น เช่น การคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้ผู้ผลิต เพื่อลดต้นทุนการผลิตเฉพาะที่ผลิตสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ หรือการให้เงินช่วยเหลือโดยตรงแก่ประชาชนที่มีฐานะยากจน และประสบปัญหาในการดำรงชีพ