Go www.kriengsak.com

ประวัติ

ครอบครัว

งานวิชาการ

กิจกรรม

Press

Contact us

ค้นหา

 

ขอคิดอย่างสร้างสรรค์

เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้รายงานตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ NPL ในไตรมาสแรกพบว่า NPL ของระบบสถาบันการเงิน มีจำนวนทั้งสิ้น 596,193.20 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 4 พันล้านบาท จากช่วงสิ้นปี 2547 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ความไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้ และเหตุผลอีกส่วนหนึ่งที่ควรตั้งคำถาม คือ การแก้ไขปัญหา NPL ของรัฐบาลทักษิณ 1 ที่ผ่านมามีประสิทธิภาพและประสิทธิผลหรือไม่ ?

อย่างไรก็ตาม จากการที่ผมได้ศึกษาเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา NPL ของรัฐบาลทักษิณ 1 โดยวิเคราะห์ข้อมูลการเพิ่มขึ้นและลดลงของ NPL โดยใช้ข้อมูลตั้งแต่เดือน มิ.ย.2541 ซึ่งเริ่มมีการเก็บตัวเลข NPL – ธันวาคม 2547 และแบ่งข้อมูลเป็น 2 ช่วง คือ มิ.ย. 2541 – ธ.ค.2543 (รัฐบาลชวน 2) และ ม.ค.2544 – ธ.ค.2547 (รัฐบาลทักษิณ 1) สิ่งที่ผมค้นพบจากการศึกษาข้อมูลดังกล่าว คือ

1. การแก้ไข NPL ในรัฐบาลทักษิณ 1 มีประสิทธิภาพต่ำ เห็นได้จากสัดส่วนของ NPL ที่ลดลง เทียบกับ NPL ที่มีอยู่ทั้งระบบสถาบันการเงินของรัฐบาลทักษิณ 1 ซึ่งลดลงจาก 857,341 ล้านบาท ณ ม.ค. 2544 เหลือ 591,873 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2547 ซึ่งลดลงสุทธิเพียง 265,468 ล้านบาท หรือ 66,367 ล้านบาทต่อปี คิดเป็น 7.74% ของ NPL ที่มีในตอนเริ่มต้น ในขณะที่รัฐบาลชวน 2 NPL ณ มิ.ย.2541 มีมูลค่า 2,090,302 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2543 ลดลงเหลือ 857,341 ล้านบาท ซึ่งลดลงสุทธิ 1,232,961 ล้านบาท หรือ ลดลง 493,184.4 ล้านบาทต่อปี คิดเป็น 23.59% ของ NPL ที่มีในตอนเริ่มต้น จะเห็นได้ว่า NPL ในสมัยรัฐบาลทักษิณ 1 นั้น ลดลงในสัดส่วนที่ต่ำกว่าสมัยรัฐบาลชวน 2 มาก

2. การแก้ไข NPL ในรัฐบาลทักษิณ 1 มีประสิทธิผลต่ำ หากพิจารณา ร้อยละของ NPL ที่กลับมาเป็น NPL ใหม่อีกครั้ง เทียบกับมูลค่าของ NPL ที่ได้รับการแก้ไขไปแล้ว พบว่า ช่วง ม.ค. 43 – ธ.ค. 43 (รัฐบาลชวน 2) มี Re-entry NPL 12.14% ในขณะที่รัฐบาลทักษิณ 1 ในมี Re-entry NPL เฉลี่ยต่อปี 40.44% ซึ่งสะท้อนว่า การแก้ไขปัญหา NPL ในรัฐบาลทักษิณ 1 มีประสิทธิผลต่ำ

ดังนั้นรัฐบาลควรให้ความสนใจและจริงจังมากขึ้น ในการแก้ไขปัญหา NPL หรือการช่วยเหลือลูกหนี้ NPL ให้สามารถกลับมาดำเนินกิจการได้นั้น จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ เพราะ จะทำให้เกิดการผลิต และการจ้างงานมากขึ้น ซึ่งสุดท้ายประโยชน์ก็จะตกอยู่กับประชาชนโดยรวมนั่นเอง