รัฐบาลกำหนดให้การแก้ไขปัญหาความยากจน
เป็น 1
ใน 3
สงคราม
ที่รัฐบาลประกาศจะกำจัด นอกเหนือจาก ปัญหายาเสพติด และคอร์รัปชัน โดยนายกฯ
ประกาศว่าจะทำให้คนจนหมดไปจากประเทศไทย ในช่วงเวลา
6 ปี
เมื่อวันที่ 30
มิถุนายน ปี 2546
ดังนั้นเส้นตายคืออีกประมาณ
3
ปีครึ่งต่อจากนี้ การจะรักษาสัญญานี้ให้ได้
ถือว่าเป็นงานหนักอย่างยิ่งของรัฐบาล
จากประสบการณ์ทั่วโลก
พบว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ทำให้สัดส่วนประชากรที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนลดลง ในทำนองเดียวกัน
การขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาหลายสิบปี
ทำให้สัดส่วนคนยากจนในประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง
ยกเว้นช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่เศรษฐกิจหดตัว ทำให้คนยากจนเพิ่มขึ้น
ที่ผ่านมา การเติบโตทางเศรษฐกิจของรัฐบาลทักษิณที่เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจโลก
ส่งผลทำให้สัดส่วนคนยากจนมีแนวโน้มลดลง
ซึ่งเกิดจากผลของ trickle down effect
หรือหมายความว่า หากเศรษฐกิจในภาพรวมขยายตัว จะทำให้คนยากจนในประเทศ
ได้รับอานิสงค์จากการขยายตัวด้วย
ผมจึงได้ทำการคำนวณเพื่อประเมินว่า หากรัฐบาลจะใช้
trickle down effect
เพื่อแก้ขจัดความยากจนให้หมดไปใน 3
ปีครึ่งจากนี้ เศรษฐกิจไทยจะต้องขยายตัวปีละเท่าไร
มีโอกาสที่จะขจัดความยากจน
โดยการกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือไม่
ภายใต้ข้อสมมติที่ว่าเส้นความยากจนไม่เปลี่ยนแปลง
และผลจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้ประโยชน์แก่คนรวยและคนจนในสัดส่วนเท่ากัน
ซึ่งผลการคำนวณ พบว่ารัฐบาลต้องทำให้เศรษฐกิจขยายตัวประมาณร้อยละ
8 ต่อปีเป็นอย่างน้อย
หากเปรียบเทียบกับการประเมินภาวะการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคตโดยสภาพัฒน์
(สศช.)
ซึ่งประมาณการณ์ไว้เมื่อปี 2547 ว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวไม่เกินร้อยละ
6 ต่อปีเท่านั้น
โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 5.8 ในปี 2548 (ซึ่งปัจจุบัน
เศรษฐกิจปี 2548 ขยายตัวเพียงร้อยละ 4.7)
และคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวประมาณร้อยละ 5.7
ในปี 2549-2550 และร้อยละ 5.9
ในปี 2551 แสดงว่า
การขจัดความยากจนโดยพึ่งพาการขยายตัวทางเศรษฐกิจแทบไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จเลย
รัฐบาลคงต้องทุ่มเททำงานหนักและรวดเร็วมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันหลายเท่า
หากต้องการแก้ปัญหาความยากจนอย่างเบ็ดเสร็จและยั่งยืน ภายในเวลาที่เหลืออยู่