เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
จากที่กรมการขนส่งทางอากาศ
แจ้งความดำเนินคดีกับสายการบินไทยแอร์เอเชีย
ที่กระทำผิดกรณีนำเครื่องบินใหม่
9
ลำ
มาบินก่อนที่จะแก้ไขการจดทะเบียนให้ถูกต้อง
ก่อนวันที่
14
กุมภาพันธ์
2549
ตลอดจนความเคลื่อนไหวของ
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ที่เข้าไปตรวจสอบการถือหุ้นของบริษัทกุหลาบแก้วในบริษัท
ชินคอร์ปอเรชั่น
จำกัด
(มหาชน)
พบว่า
โครงสร้างผู้ถือหุ้นอาจเข้าข่ายคนไทยถือหุ้นแทนคนต่างด้าว
หรือนอมินี
ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
พ.ศ.2542
นั้น
ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของความพยายามเอาผิดกับผู้ที่กระทำฝ่าฝืนกฎหมาย
ภายหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้นในบริษัท
ชินคอร์ปอเรชั่น
จำกัด
(มหาชน)
สังคมได้ตั้งคำถามกรณีมีการตรวจสอบจำนวนผู้ถือหุ้นชาวต่างด้าวเกินสัดส่วนตามที่กฎหมายกำหนด
ทั้งในส่วนของบริษัท
ชินคอร์ปอเรชั่น
จำกัด
(มหาชน)
และบริษัทย่อยทุกบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเข้ามาถือหุ้นในบริษัท
ชินคอร์ปอเรชั่น
จำกัด
(มหาชน)
ของกลุ่มเทมาเซค
อาทิ แอดวานซ์
อินโฟร์เซอร์วิสหรือ
เอไอเอส,
ชินแซทเทิลไลท์,
ไอทีวี
รวมถึง
ไทยแอร์เอเชีย
หรือไม่
เมื่อผลสรุปออกมาชัดเจนว่า
สัดส่วนผู้ถือหุ้นในบางบริษัทไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องกลับไม่เร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ทั้งยังพยายามหาข้ออ้าง
เพื่อทำให้กระบวนการตรวจสอบทางกฎหมายถูกยืดเวลาออกไป
อาทิ
กรณี
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ตรวจสอบการถือหุ้นของบริษัทกุหลาบแก้ว
ระบุว่า
บริษัทกุหลาบแก้วส่อเค้าเป็นนอมินี
ของกลุ่มเทมาเส็ก
แต่กระทรวงพาณิชย์กลับตั้งคณะทำงานเพิ่ม
โดยอ้างว่า
เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม
เนื่องจากผลสรุปของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นเพียงข้อสรุประดับกรม
จึงต้องนำมาพิจารณาต่อเพื่อความรอบคอบ
กรณี
กรมการขนส่งทางอากาศ
ส่งเรื่องถึงคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อตีความ
กรณีสายการบินไทยแอร์เอเชียเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้น
ซึ่งกฤษฎีกาได้แสดงความเห็นว่า
หากคุณสมบัติของผู้ถือหุ้นมีการเปลี่ยนแปลง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจะมีอำนาจเด็ดขาดในการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติก่อนพักใช้หรือเพิกถอนหรือมีผลบังคับใช้ทันที
แต่ความเห็นดังกล่าวไม่ได้รับการตอบสนองโดย
รมต.คมนาคม
เลือกที่จะดำเนินการตามความเห็นที่ว่า
บริษัทไทยแอร์เอเชียได้มีการแก้ไขและยื่นขอปรับเปลี่ยนสัดส่วนผู้ถือหุ้นในนามบริษัทเอเชีย
เอวี
เอชั่น
จำกัด
ได้ทันภายในกรอบเวลาที่กำหนด
จึงถือว่าไม่มีเจตนาที่จะกระทำการฝ่าฝืนใบอนุญาต
สถานการณ์ข้างต้นนี้จึงสะท้อนความไม่สอดรับกันของการทำงานของแต่ละหน่วยงาน
กล่าวคือ
ในขณะที่หน่วยงานส่วนหนึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบ
ค้นหาความจริงเพื่อตอบคำถามสังคม
และนำผู้ที่กระทำความผิดมาลงโทษ
แต่หน่วยงานอีกส่วนหนึ่งซึ่งมีหน้าที่คอยสานงานต่อ
หรือรัฐมนตรี
ซึ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการจัดการแก้ไขปัญหา
กลับไม่ได้แสดงความพยายามที่มากพอ
ในการนำตัวผู้ที่น่าเชื่อว่ากระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย
เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความผิด
จึงทำให้กลไกการตรวจสอบไม่สามารถเดินต่อไปได้
หากเป็นเช่นนี้
การนำคดีขึ้นสู่กระบวนพิจารณาของศาลยิ่งต้องใช้เวลานานมากขึ้น
ซึ่งไม่เพียงทำให้ผู้ที่กระทำผิดได้รับประโยชน์จากความล่าช้าเท่านั้น
แต่ในทางตรงข้ามประชาชนกลับเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหาย
เพราะต่างชาติได้เข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากกิจการเหล่านั้น
ซึ่งบางอย่างเป็นกิจการผู้ขาด
หรือกึ่งผูกขาด
อาทิ
กิจการสื่อสารโทรคมนามคม
กิจการการบิน
เป็นต้น
ผมจึงขอเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐ
โดยเฉพาะรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการถือหุ้นของบริษัทต่าง
ๆ
ได้ตระหนักถึงบทบาทที่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน
และดำเนินการเอากับผู้ที่กระทำผิดอย่างจริงจัง
รวดเร็ว
เป็นธรรมและ
ไม่เห็นแก่พวกพ้อง
เพื่อให้กลไกการตรวจสอบทำงานอย่างเต็มระบบและมีประสิทธิภาพ
สมกับความคาดหวังของประชาชนที่ติดตามเรื่องนี้อยู่
|