เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ในการสัมมนา
เรื่อง คนไทยได้อะไรจาก
FTA
ไทย-ญี่ปุ่น
เมื่อวันที่ 9
กันยายน
2548
ซึ่งจัดโดยคณะอนุกรรมาธิการเพื่อศึกษาพิจารณาเกี่ยวกับเศรษฐกิจมหภาคและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
สภาผู้แทนราษฎร
ผมในฐานะประธานอนุกรรมาธิการฯ ได้ให้ข้อคิดหลายประการแก่ผู้เข้าร่วมสัมมนา
ประเด็นแรก
การถกเถียงให้ได้ข้อสรุปเชิงมโนทัศน์
(Concept)
ว่า
ควรเปิดเสรีหรือไม่ควรเปิดเสรี
หากเห็นว่าควรเปิดเสรีแล้ว คำถามต่อมาคือ ควรเปิดเสรีในระดับใด
และหากการเปิดเสรีอย่างที่เป็นอยู่ เป็นผลดีต่อประเทศจริงโดยไม่มีเงื่อนไข
ก็น่าจะพิจารณาเพื่อเปิดเสรีแบบฝ่ายเดียว
(unilateral)
ไปเลยโดยไม่ต้องเจรจา
แต่หากต้องเจรจาก็แสดงว่าต้องเปิดเสรีแบบระมัดระวังให้เราได้ประโยชน์
ทั้งนี้การที่รัฐบาลรีบเร่งทำการเจรจาเปิดเขตการค้าเสรีโดยที่ยังไม่มีข้อสรุปเชิงมโนทัศน์
ทำให้เกิดข้อสงสัยและข้อโต้แย้งต่อรัฐบาลค่อนข้างมาก
ประเด็นที่สอง ความเข้าใจถึงความสามารถในการปรับตัวของประชาชน
รัฐบาลควรเข้าใจความสามารถของประชาชนในการรองรับการเปลี่ยนแปลง
คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า
หน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องมีความพร้อมหรือไม่จากการทำข้อตกลงฯ
มีเกณฑ์ในการวัดความพร้อม
และมีแผนการเตรียมความพร้อมอย่างไร
ประเด็นที่สาม
การยืนยันด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์
แม้ว่ารัฐบาลยืนยันว่า ไทยจะได้ประโยชน์จากการเจรจา
แต่ไม่ได้ยืนยันว่าผลประโยชน์เป็นเท่าไร
โดยเฉพาะการเปิดเสรีภาคบริการนั้น มีข้อสงสัยว่ารัฐบาลได้พิจารณาจากอะไร
ในเมื่อประเทศไทยยังไม่มีฐานข้อมูลของภาคบริการที่ดีพอ
จึงถูกมองว่ามีกระบวนการตัดสินใจแบบกล่องดำหรือใช้ดุลยพินิจค่อนข้างมาก
แต่ไม่ได้แสดงหลักฐานการศึกษาที่เป็นวิทยาศาสตร์
ประเด็นที่สี่ การมีส่วนร่วมของทุกภาคี
นับเป็นประเด็นสำคัญมาก เพราะภาคประชาชนและประชาสังคม
มักเป็นกลุ่มที่ไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเจรจา
ด้วยเหตุที่กลุ่มในภาคประชาชนอยู่กระจัดกระจาย ไม่เข้มแข็งและขาดอำนาจต่อรอง
รัฐบาลจึงต้องสร้างกลไกที่ทำให้คนกลุ่มนี้ได้เข้ามามีบทบาทในการเจรจามากขึ้น
ประเด็นที่ห้า
ความไม่เท่าเทียมของรายใหญ่และรายย่อย
ความกังวล คือ ผลประโยชน์จะตกไปถึงมือเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยได้อย่างไร
ผู้ประกอบการของไทยในภาคเกษตรส่วนใหญ่ เป็นเพียงรายย่อย
มีมาตรฐานการผลิตค่อนข้างต่ำ ผู้ประกอบการไม่ถึงร้อยละ
5
ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานในระดับสากล
ประเด็นที่หก
ความเหมาะสมทั้งยามปกติและยามวิกฤต
เนื่องจากการเปิดเสรีย่อมทำให้ประเทศไทยเกิดความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้าบางชนิด
หมายความว่า ไทยจะเลิกหรือลดการผลิตสินค้าบางชนิด
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตดังกล่าว
อาจจะทำให้เกิดความยากลำบากของคนในประเทศในยามวิกฤติ
ประเด็นสุดท้าย
การจัดการผลประโยชน์
การเจรจาการค้าย่อมมีทั้งผลดีและผลเสีย ดังนั้น
การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์
(Trade off)
รัฐบาลต้องพิจารณาในหลายมิติ รวมทั้งมีกลไกใน
การชดเชย
โดยดึงจากผู้ที่ได้รับประโยชน์มาชดเชยแก่ผู้ได้รับผลกระทบ
และรัฐบาลควรประชาสัมพันธ์ถึงผลกระทบในด้านลบของการเจรจาฯ
ข้อคิดทั้ง
7
ประการข้างต้นนี้จึงน่าเป็นกรอบแนวคิดที่เป็นประโยชน์
สามารถนำไปใช้ประกอบการกำหนดยุทธศาสตร์ของชาติ
และเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับการเจรจาการค้าในอนาคต
เพื่อก้าวเข้าสู่การแข่งขันในเวทีโลกอย่างชาญฉลาด
|