Go www.kriengsak.com

ประวัติ

ครอบครัว

งานวิชาการ

กิจกรรม

Press

Contact us

ค้นหา

 

 ขอเสนออย่างสร้างสรรค์


ทำไม “ขาโจ๋” จึงเป็นคู่กัดกับ “ขาประจำ” (จบ)
Why do academics and politicians end up in conflict? (2)

 

14 กุมภาพันธ์ 2549

 

เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก

ผมได้กล่าวถึงความขัดแย้งของ “ขาโจ๋” หรือนักการเมือง (ฝ่ายรัฐบาล) และ “ขาประจำ” หรือนักวิชาการ ซึ่งเกิดจากเป้าหมายของนโยบายที่นำเสนอนั้นแตกต่างกัน โดยนักการเมืองมีเป้าหมายเพื่อคะแนนเสียงสูงสุด แต่นักวิชาการมีเป้าหมายเพื่อเพื่อสวัสดิการสูงสุด

เมื่อความเห็นเรื่องนโยบายที่ควรจะเป็นไม่ลงรอยกัน จึงตามมาด้วยการ “เจรจาต่อรอง” ระหว่างนักการเมือง (ฝ่ายรัฐบาล) กับนักวิชาการ ซึ่งแน่นอนว่ากระบวนการต่อรองนี้ไม่ใช่การต่อราคาเสื้อที่ตลาดโบ๊เบ๊ แต่เป็นการ “นำเสนอความเห็น” จากนักวิชาการไปสู่รัฐบาล อย่างนุ่มนวลบ้าง หรือรุนแรงบ้าง

และด้วยความที่นักวิชาการมีจำนวนมาก หรืออย่างน้อยก็มากกว่านายกรัฐมนตรีซึ่งมีเพียงคนเดียว จึงน่าเห็นใจว่าท่านนายกจะมีความรู้สึกเหมือนถูกรุมสกรัมจากนักวิชาการ ทำให้รู้สึกอย่างที่วัยรุ่นพูดว่า “เสียเซลฟ์ (self)”  จนต้องใช้สิ่งที่วิชาจิตวิทยาเรียกว่า “กลไกการป้องกันตนเอง” (defense mechanism) ด้วยการบริภาษนักวิชาการที่กล้ามา “นำเสนอความคิด” ด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด

จริง ๆ แล้วปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นกับนายกรัฐมนตรีทุกคน แต่เหตุใดปรากฏการณ์นี้จึงรุนแรงเป็นพิเศษในสมัยรัฐบาลทักษิณ ผมคิดว่ามีปัจจัยกำหนดอย่างน้อย 2 ปัจจัย

ปัจจัยแรกคือ ความไม่สมดุลระหว่างความสำคัญของการตลาดและวิชาการของพรรคไทยรักไทย เป็นที่ทราบกันดีว่าท่านนายกนั้นเติบโตมาจากความเป็นนักธุรกิจ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการใช้เทคนิคการตลาด ทำให้ท่านอาจนำความสามารถเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ในการออกนโยบายทางการเมืองด้วย ในขณะที่ทางด้านวิชาการนั้น แม้พรรคไทยรักไทยอาจพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญมากเท่ากับการใช้ความสามารถทางการตลาด ซึ่งสามารถผลิตนโยบายออกมาได้ “โดนใจ” ประชาชนอย่างมาก

เมื่อนโยบายที่ออกมาเป็นที่ชอบใจของประชาชน แต่ขาดรากฐานทางวิชาการตามอย่างที่ควรจะเป็น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่นักวิชาการจะออกมาพูดสิ่งที่ดูเหมือนขัดแข้งขัดขามากกว่ารัฐบาลอื่น ที่นโยบายส่วนใหญ่ถูกผลิตจากเทคโนเครตซึ่งผลิตนโยบายโดยใช้หลักวิชาการในระดับหนึ่ง

ปัจจัยที่สอง ปัจจัยทางจิตวิทยาในตัวท่านนายก ซึ่งเรื่องนี้ผมคงอธิบายไม่ได้ดีกว่าตัวคุณทักษิณเองว่า ปัจจัยนี้มีอิทธิพลต่อการกำหนดการแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดของท่านอย่างไร

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาอย่างเป็นธรรม นักวิชาการจำนวนหนึ่งอาจไม่ได้เป็นตามอุดมคติ คือมิได้มีเป้าหมายในการเสนอความเห็นเพื่อสวัสดิการสูงที่สุดของประเทศ แต่อาจมีเป้าหมายแฝงเพื่อประโยชน์ของตนเองในรูปแบบต่าง ๆ (ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องเป็นเงินทอง)

ดังนั้น ผมเห็นว่าทางออกที่ดีที่สุดในกระบวนการ “เจรจาต่อรอง” ระหว่างรัฐบาลกับนักวิชาการ ควรเป็นการสนับสนุนให้มีการวิจัยอย่างเป็นกลางก่อนจะกำหนดนโยบายใด ๆ เพื่อให้การประกาศใช้นโยบายต่าง ๆ เกิดผลดีที่สุดต่อประเทศ ส่วนการทำ “การตลาด” สำหรับนโยบายนั้น ควรเป็นไปเพื่อให้ประชาชนทราบถึงผลดีและผลกระทบของนโยบายอย่างครบถ้วน