นโยบายรถไฟฟ้า 10
สาย เปลี่ยนรถเมล์ร้อนเป็นรถแอร์ หวังปลุกผีประชานิยมกลบกระแสรัฐบาลถังแตก
แต่ขาดการศึกษาผลกระทบ ระวังสร้างหนี้ ขูดภาษีประชาชน
รัฐบาลประกาศสร้างรถไฟฟ้า
10 เส้นทาง
โดยจะเปิดให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาแข่งขันกันประกวดราคา
ทั้งนี้ยังอยู่ในกรอบวงเงินเดิมคือ 5.5 แสนล้าน
นอกจากนี้ในปี 49 ยังมีแผนเปลี่ยนรถเมล์ร้อนให้เป็นรถแอร์ใหม่ทั้งหมด
4,000 คัน โดยจะทยอยปรับเปลี่ยนให้ได้ภายใน 1
ปี คาดว่าจะใช้งบประมาณราว 2
หมื่นล้านบาท ส่วนค่าโดยสารจะยังเท่าเดิม
ผมสงสัยว่าการประกาศนโยบายของรัฐบาลในครั้งนี้ จะทำได้จริงหรือไม่
หรือเป็นเพียงสร้างกระแสความนิยมที่ตกต่ำให้ดีขึ้นและแก้ภาพลักษณ์รัฐบาลเรื่องถังแตกเท่านั้น
แต่หากรัฐบาลตั้งใจจะทำจริง ๆ รัฐบาลได้บอกให้ประชาชนทราบแล้วหรือไม่ว่า
การลงทุนในโครงการดังกล่าวจะนำงบประมาณมาจากแหล่งใด ใครเป็นผู้จ่ายเงินส่วนนี้
และมีผลกระทบอย่างไร
คนกรุงเทพฯคาดหวังให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาระบบขนส่งมวลชนตามที่สัญญาไว้
แต่ที่ผ่านมาความนิยมของรัฐบาลตกต่ำลงมาก เนื่องจากพฤติกรรมที่ขัดใจคนกรุงฯ
ไม่ว่าจะเป็น การลดเส้นทางรถไฟฟ้า จาก 7
สายเป็น 4 สาย ขัดขวางการก่อสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า BTS
และล่าสุดการออกตั๋วเงินคลัง
ซึ่งแสดงความไม่มั่นใจต่อฐานะการคลังของรัฐบาล
รัฐบาลจึงเร่งประกาศนโยบายประชานิยมรอบใหม่
คือการสร้างรถไฟฟ้าเพิ่มเป็น 10
เส้นทาง และเปลี่ยนรถเมล์ร้อนเป็นรถเมล์ติดแอร์
โดยหวังจะกลบกระแสรัฐบาลถังแตก
อย่างไรก็ตาม ผมไม่คิดว่ารัฐบาลจะสร้างรถไฟฟ้า
10 เส้นทางจริงๆ
เนื่องจากพฤติกรรมที่ผ่านมาของรัฐบาลได้พิสูจน์ให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลไม่มีความชัดเจนตลอดจนไม่ได้ทำการศึกษาและวางแผนเรื่องนี้มาก่อน
สังเกตจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายอยู่บ่อยครั้ง
ผมคาดว่าแนวโน้มรัฐบาลคงจะมีการปรับแผนกันอีกหลายรอบอย่างแน่นอน
สำหรับการเปลี่ยนรถเมล์ในกรุงเทพฯให้ติดแอร์ทุกคัน
แต่เก็บค่าโดยสารเท่าเดิม
แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้เพราะใช้งบประมาณที่ไม่สูงจนเกินไป
แต่ก่อนที่จะประกาศนโยบายนี้ รัฐบาลได้ศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายนี้แล้วหรือไม่
เนื่องจากรัฐบาลทราบอยู่แล้วว่า ขสมก.ประสบปัญหาขาดทุนและมีภาระหนี้จำนวนมากอยู่แล้ว
การที่รัฐบาลจะนำรถปรับอากาศซึ่งมีต้นทุนสูงกว่ามาให้บริการ
แต่การเก็บค่าโดยสารเท่าเดิม ยิ่งจะไปซ้ำเติมให้ ขสมก.เป็นหนี้เพิ่มขึ้นไปอีก
หรือทำให้รัฐมีภาระต้องจัดงบประมาณอุดหนุนเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมากในแต่ละปี
ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลต้องเป็นหนี้มากขึ้นและประชาชนต้องถูกเก็บภาษีมากขึ้น
ผมอยากเสนอแนะว่า หากนโยบายยังขาดผลการศึกษารองรับหรือรัฐบาลยังไม่รู้ว่าจะดำเนินการอย่างไร
รัฐบาลไม่ควรประกาศต่อสาธารณะ การทำเช่นนี้แม้จะได้รับความนิยมในระยะสั้น
แต่เมื่อประชาชนเห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถทำตามคำสัญญาหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายบ่อยครั้ง
ในที่สุดประชาชนจะไม่เชื่อถือคำพูดของรัฐบาลอีกต่อไป