นักการเมืองกับนักวิชาการนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันทุกยุค ทุกสมัย
แต่ในยุคนายกทักษิณ ความขัดแย้งนี้ดูจะรุนแรงเป็นพิเศษ มากกว่ายุคใด ๆ
ในประวัติศาสตร์ของการเมืองไทย
เริ่มต้นด้วยการที่ท่านนายกเรียกนักวิชาการที่ออกมาแนะนำการบริหารนโยบายว่า พวก
ขาประจำ ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว จนสุดท้ายหนึ่งใน ขาประจำ
ที่ท่านนายกกรุณาตั้งชื่อให้นั้น
ได้ตอบแทนบุญคุณด้วยการตั้งฉายากลับให้ท่านนายกบ้างว่าเป็น ขาโจ๋
ในระบบการเมืองไทย
วิวาทะระหว่างขาโจ๋และขาประจำนี้มีแนวโน้มว่าจะไม่ยุติลงง่าย ๆ
มิหนำซ้ำยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นตามจำนวนปีที่ท่านนายกทักษิณยึดครองเก้าอี้เอาไว้
จนล่าสุดนั้นอาจารย์มหาวิทยาลัยถึง 129
ท่านได้ร่วมกันลงชื่อขอให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง
จุดที่ผมให้ความสนใจ ต้องการหาคำตอบและคำอธิบายคือประเด็นที่ว่า
ทำไมนักการเมืองกับนักวิชาการดูจะต้องเป็นคนละขั้วกันเสมอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฐานะที่ผมเป็นทั้ง 2 ฐานะ คือเป็นนักวิชาการ
และเป็นนักการเมืองด้วย
ทำให้ผมเกิดความสนใจและเกิดความเห็นใจในฐานะที่ผมสวมหมวกทั้ง 2 ใบนี้
น่าสังเกตว่า จุดเริ่มต้นของวิวาทะระหว่างนักการเมือง
(ซึ่งมักจะเป็นฝั่งรัฐบาลเสียเป็นส่วนมาก) กับนักวิชาการนั้น
มาจากความขัดแย้งในแนวความคิดการผลิตนโยบาย
เราจึงควรเริ่มที่การวิเคราะห์กระบวนการผลิตนโยบายเสียก่อน
ตามแนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมืองนั้น นโยบายมีฐานะเป็น สินค้า ตัวหนึ่ง และเมื่อมี
สินค้า ย่อมต้องมี ผู้ผลิต และ ผู้ซื้อ ดังนั้นแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์จึงแยก
ตัวละคร ที่มีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายออกเป็น 2 ฝั่ง ดังต่อไปนี้
ฝั่งแรก คือ ผู้ทำหน้าที่ออกนโยบาย ซึ่งเป็น ผู้ผลิต นโยบาย ได้แก่ รัฐบาล
ข้าราชการที่ทำหน้าที่ทางเทคนิค หรือที่เรียกว่า เทคโนเครต (Technocrat)
และรัฐสภาที่ทำหน้าที่ออกกฎหมาย
ซึ่งเศรษฐศาสตร์มองว่าตัวละครฝั่งนี้ทำหน้าที่เสมือนเป็นอุปทาน (supply) ของนโยบาย
อีกฝั่งคือ ผู้รับผลกระทบจากนโยบาย ซึ่งเป็น ผู้ซื้อ นโยบาย ได้แก่ ประชาชน
กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ สื่อสารมวลชน รวมถึงนักวิชาการด้วย ซึ่งทำหน้าที่เป็นอุปสงค์
(demand) ของนโยบาย
ธรรมชาติของผู้ซื้อและผู้ขายนั้นจะมีเป้าหมายที่ขัดแย้งกัน ผู้ขายต้องการกำไรสูงสุด
ในขณะที่ผู้ซื้อต้องการความพอใจจากสินค้าให้มากที่สุดภายใต้วงเงินจำกัด
จึงเป็นเรื่องสามัญสำนึกที่ผู้ขายต้องการขายสินค้าในราคาแพง
แต่ผู้ซื้อต้องการซื้อของถูก
เมื่อเป้าหมายขัดแย้งกันจึงเกิดการเจรจาต่อรองเพื่อหาข้อตกลง
รูปแบบพื้นฐานที่สุดของการต่อรอง คือการต่อราคาของผู้ซื้อกับผู้ขาย
จนกระทั่งมีข้อยุติว่าจะซื้อหรือไม่ ที่ราคาเท่าไร
เมื่อมองเรื่องของนโยบายนั้น ตัวละคร
แต่ละฝ่ายมีเป้าหมายที่ขัดแย้งกันเช่นเดียวกัน รัฐบาล (ในระบอบประชาธิปไตย)
มีเป้าหมายในการออกนโยบายเพื่อให้ได้รับคะแนนเสียงสูงสุด (Maximize voting)
ในขณะที่ ตัวละคร
ฝั่งผู้ซื้อนโยบายนั้นมีเป้าหมายเพื่อให้ผลประโยชน์ของตนเองสูงที่สุด
ซึ่งหากนักวิชาการตามอุดมคติ ที่มีอุดมการณ์เพื่อประเทศชาติ
เป้าหมายของนักวิชาการตามอุดมคติจึงเป็นการมุ่งให้สวัสดิการของประเทศสูงที่สุด (Maximize
welfare)
ฟังดูเผิน ๆ เป้าหมายเพื่อให้คะแนนเสียงสูงที่สุดของนักการเมือง
กับเป้าหมายเพื่อให้สวัสดิการสูงที่สุดของนักวิชาการไม่น่าจะขัดแย้งกัน
เนื่องจากหากประชาชนได้รับประโยชน์จากนโยบายของพรรคการเมือง
ประชาชนน่าจะลงคะแนนเสียงเพื่อให้พรรคนั้นเข้ามาเป็นรัฐบาลอยู่แล้ว
แต่ปัญหาติดอยู่ที่ว่านโยบายที่ดีบางประการกลับไม่เป็นที่ชอบใจของผู้ซื้อนโยบาย
เช่นนโยบายการบังคับออม การเก็บภาษีทรัพย์สิน เป็นต้น
แต่นโยบายบางประการที่ทำให้เกิดปัญหาในระยะยาว
กลับเป็นที่ชอบอกชอบใจของชาวบ้านดีนักแล ที่เห็นชัดคือนโยบายประชานิยมต่าง ๆ
ที่ลดแลกแจกสะบัด
ดังนั้น นโยบายเพื่อคะแนนเสียงสูงสุด
กับนโยบายเพื่อสวัสดิการสูงสุดจึงเป็นคนละอย่าง