นายกฯ ไม่นำเอฟทีเอเข้าสภาฯ
เป็นการดูถูกความรู้ความสามารถ ส.ส.-ส.ว.
และกีดกันการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบาย
กรณีที่นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะไม่นำข้อตกลงเอฟทีเอเข้าพิจารณาในสภาฯ
เพราะสภาฯ ไม่มีผู้เชี่ยวชาญนั้น
ผมถือว่าเป็นการดูถูกความรู้ความสามารถของ ส.ส.
และ ส.ว.
ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็น ส.ส.ของพรรคไทยรักไทยเอง
และกีดกันการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเจรจาเอฟทีเอ
แท้ที่จริงแล้ว ส.ส.
และ ส.ว.
ชุดนี้มีความรู้ความสามารถที่หลากหลาย
เพราะสมาชิกรัฐสภาชุดนี้จำนวน
700 คน มีคนที่จบปริญญาเอกถึง
53
คน หรือร้อยละ
7.6
ของจำนวนสมาชิกรัฐสภา และปริญญาโท
337
คนหรือร้อยละ
48.14
โดยมีความเชี่ยวชาญหลากหลาย
ทั้งด้านการบริหารนโยบายสาธารณะ
ประกอบด้วยเศรษฐศาสตร์
รัฐศาสตร์ บริหารธุรกิจ และการต่างประเทศ คิดเป็นร้อยละ
54
ด้านกฎหมายร้อยละ
4
ด้านพัฒนาคนและชุมชน
ประกอบด้วยสายการศึกษา
พัฒนาชุมชน สังคมสงเคราะห์ ร้อยละ 12
และด้านวิทยาศาสตร์
สาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม
ร้อยละ
9
รวมทั้งยังเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การทำงานอยู่ในสาขาอาชีพต่าง
ๆ อย่างครอบคลุม
ทั้งเกษตรกร ครู
ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พนักงานรัฐวิสาหกิจ นักธุรกิจ นักบริหาร สื่อมวลชน นักวิชาการ
และวิชาชีพต่าง ๆ
จากคุณสมบัติและความเชี่ยวชาญเบื้องต้น กล่าวได้ว่า ความรู้ ความสามารถ
และประสบการณ์ของสมาชิกรัฐสภาจึงมีความครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาการค้าเสรีระหว่างไทยและสหรัฐฯ
และครอบคลุมมากกว่าคณะเจรจาซึ่งมีเพียงผู้ที่มีประสบการณ์การทำงานในวงการราชการเป็นส่วนใหญ่
ดังนั้น
รัฐสภาจึงเป็นกลไกที่มีความเหมาะสมในการที่รัฐบาลจะทำความเข้าใจกับประชาชน
และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี
เพราะ ส.ส.และ
ส.ว.
เป็นตัวแทนของประชาชนโดยชอบธรรม การที่นายกฯพยายามหลีกเลี่ยงการนำข้อตกลงเอฟทีเอเข้าสู่การพิจารณา
จึงเป็นความตั้งใจกีดกันการรับรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชน
ผมเกรงว่ากระบวนการเจรจาเอฟทีเอในปัจจุบัน
จะไม่ทำให้คนไทยไม่ได้รับประโยชน์ แต่ผลประโยชน์ตกเป็นของคนเพียงบางกลุ่ม ผมขอเสนอให้มีการร่าง
พ.ร.บ.
กระบวนการพิจารณาการเปิดการค้าเสรี
ที่กำหนดขั้นตอน กระบวนการการพิจารณาการเปิดการค้าเสรีอย่างรอบคอบ
เช่น มีการศึกษาผลกระทบอย่างครบถ้วน ประชาชนมีส่วนในการแสดงความเห็นอย่างรอบด้าน
และให้สภาฯ ได้มีส่วนพิจารณารายละเอียดต่าง ๆ รวมถึงการจัดกลไกชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ
เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้าอย่างแท้จริง