รัฐบาลประกาศขึ้นภาษีบุหรี่อีกร้อยละ
4
เกือบเต็มเพดาน
เพื่อหวังลดจำนวนคนสูบบุหรี่
ส่งผลให้ราคาขายบุหรี่เพิ่มขึ้นอีกซองละ 7-8
บาท
และคาดว่าจะทำให้ผู้บริโภคลดการบริโภคบุหรี่ร้อยละ
20
โดยราคาใหม่นี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7
ธันวาคม 2548
และย้ำว่าไม่ต้องการเก็บรายได้เพิ่ม แต่ต้องการรักษาสุขภาพประชาชน
และลดงบฯในการเยียวยาสุขภาพของประชาชน
ผมเชื่อว่าการที่รัฐบาลประกาศขึ้นภาษีบุหรี่นี้
ไม่ได้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการรักษาสุขภาพของประชาชน
แต่วาระแท้จริงที่ซ่อนอยู่น่าจะเป็นการหารายได้เพื่อลดแรงกดดันทางการคลังมากกว่า
หากสังเกตพฤติกรรมของรัฐบาลที่ผ่านมาพบว่า รัฐบาลใช้จ่ายเงินเกินตัวอย่างเห็นได้ชัด
จากการขออนุมัติงบกลางปี 48
เพิ่มเติมถึง
5
หมื่นล้านบาท
และการใช้จ่ายเงินอย่างสุ่มเสี่ยงของรัฐบาลที่เอาใจประชาชน
โดยไม่คำนึงถึงวินัยทางการคลัง
เช่น นโยบายลดหนี้ภาคประชาชน
โครงการ
SML
และโครงการตระกูลเอื้ออาทรทั้งหลาย
ฯลฯ
แม้รัฐบาลบอกว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังไปได้ดี รัฐบาลเก็บภาษีได้เข้าเป้า
แต่ไม่อาจทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจได้
เพราะการออกตั๋วเงินคลังกว่า 8
หมื่นล้านบาท
ทั้ง ๆ
ที่มียอดสะสมอยู่แล้ว 1.7
แสนล้านบาท
สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่ารัฐบาลเงินกำลังขาดมือ
หลายฝ่ายจึงมีข้อกังขาว่าเงินคงการคลังของประเทศเหลือน้อยเต็มทีและกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤติแล้ว
ดังนั้นรัฐบาลจึงพยายามหารายได้จากทุกทาง เพื่อมาอุดช่องว่างระหว่างรายรับและรายจ่าย
การปรับขึ้นภาษีบุหรี่ หรือภาษีบาปอีกร้อยละ
4
จะทำให้มีรายได้เพิ่มประมาณ 3-4
พันล้าน
ในภาวะที่รัฐบาลถังแตกเช่นนี้
จึงน่าสงสัยว่ารัฐบาลต้องการเก็บรายได้มากกว่ารักษาสุขภาพประชาชน
และหากพิจารณาเหตุผลที่รัฐบาลให้เหตุผลว่า
เพื่อประหยัดงบฯในการเยียวยารักษาสุขภาพประชาชน และความตั้งใจที่จะขึ้นภาษีจากสินค้าฟุ่มเฟือยอีก
20
รายการแบบเต็มเพดาน
ยิ่งยืนยันว่า รัฐบาลกำลังมีปัญหาและต้องการลดแรงกดดันทางการคลัง
ยิ่งไปกว่านั้น หากพิจารณาด้วยแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ การขึ้นภาษีบุหรี่ซึ่งทำให้ราคาบุหรี่เพิ่มขึ้น
ไม่ทำให้คนสูบบุหรี่ลดลงมากเท่าใดนัก
เพราะบุหรี่เป็นสินค้าจำเป็นสำหรับคนที่ติดบุหรี่
คุณสมบัติของสินค้าจำเป็น คือ แม้ราคาสินค้านั้นจะเพิ่มขึ้นมาก
แต่การบริโภคจะลดลงไม่มากนัก มาตรการขึ้นภาษีจึงไม่มีประสิทธิภาพมากนักในการลดการบริโภคบุหรี่
นอกจากนี้ รัฐบาลยังไม่ได้พูดอย่างชัดเจนว่า
รายได้ที่จัดเก็บได้เพิ่มขึ้นนี้จะนำไปสนับสนุนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ
(สสส.)
หรือเอาเงินไปสนับสนุนโครงการ 30
บาทรักษาทุกโรคทั้งหมดหรือไม่
ซึ่งหากทำเช่นนั้นก็เป็นการลดภาระงบประมาณจากส่วนปกติ
ทำให้แรงกดดันฐานะการคลังภาพรวมลดลงได้ โดยมีภาพลักษณ์ดูดี
แต่อย่างไรก็ตาม จึงน่าจับตามองว่าอาจจะมีการนำเงินไปใช้ในโครงการอื่น
ๆ ด้วย
ทั้งนี้ผมไม่ได้แสดงความไม่เห็นด้วยในการขึ้นภาษีบาป
เพราะผมไม่เห็นด้วยให้คนสูบบุหรี่ และในความเป็นจริงการขึ้นภาษีนี้น่าจะมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย
แต่ผมเพียงตั้งข้อสังเกตว่ามาตรการนี้เป็นตัวสะท้อนว่า
สถานะเงินคงคลังมีอาการง่อนแง่นจริง และการขึ้นภาษีครั้งนี้ รัฐบาลอาจไม่ได้นำเงินไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่แถลง
แต่อาจนำไปใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ