Go www.kriengsak.com

ประวัติ

ครอบครัว

งานวิชาการ

กิจกรรม

Press

Contact us

ค้นหา

 

ขอคิดอย่างสร้างสรรค์

 

ความจริงใจของรัฐบาลต่อการกระจายอำนาจให้ อปท.
The sincerity of government decentralization to the provinces

 

 

12  มิถุนายน 2549

เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก              

               จากข่าวความเคลื่อนไหวของรัฐบาลในเรื่องการกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ภายหลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 30 พฤษภาคม 2549 ได้มีมติเห็นชอบจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในปีงบประมาณ 2550 ใน
สัดส่วนร้อยละ
35 หรือคิดเป็นเงิน 516,600 ล้านบาท ตามสัดส่วนที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. .. 2542 
โดยจะไม่มีการแก้ไขในเรื่องการจัดสรรงบประมาณเพียงแต่จะโอนเรื่องไปให้กับรัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการ

ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใด มติ ครม. ที่เห็นชอบด้วยกับหลักการการกระจายอำนาจฯ จึงเกิดขึ้นในช่วงใกล้เลือกตั้ง
ทั้ง ๆ ที่ มติ ครม
. 17 มกราคม 2549 ยอมรับว่าไม่สามารถโอนเงินงบประมาณให้แก่ อปท.ตาม พรบ.กำนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจฯได้ รัฐบาลจึงจัดสรรงบประมาณในปี 2549 ให้ท้องถิ่นเพียงร้อยละ 24.1 และระบุว่าในปีงบประมาณ 2550 จะโอนเงินให้ อปท.ได้เพียงร้อยละ 26 โดยอ้างเหตุผลว่าติดปัญหาการปฏิรูประบบราชการ เนื่องจากการโอนหน่วยงานด้านการศึกษาและสาธารณสุขไปอยู่ในความดูแลของ อปท.ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

ผมจึงเกิดคำถามว่าขณะนี้การโอนหน่วยงานด้านการศึกษาและสาธารณสุขเป็นไปตามเป้าหมายแล้วหรือ? ผมไม่เป็นห่วงหากหน่วยงานเหล่านั้นมีการโอนภารกิจได้ตามเป้าหมายที่กำหนด และมีความพร้อมในการถ่ายโอนอย่างแท้จริง แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงคือ หากหน่วยงาน
ไม่มีความพร้อม แต่รัฐบาลพยายามผลักดันให้เกิดการกระจายงบประมาณออกไป เพื่อผลประโยชน์ใดก็ตาม จะเกิดผลกระทบอะไรขึ้นกับการให้บริการด้านการศึกษาและการสาธารณสุขในท้องถิ่น รวมถึงอาจทำให้เกิดผลกระทบด้านประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณ

เหตุที่ผมวิพากษ์เช่นนี้ ไม่ใช่ผมไม่เห็นด้วยกับการถ่ายโอนอำนาจจากหน่วยงานกลางไปสู่ อปท. เพราะตามหลักการเป็นเรื่อง
ที่ดี ที่จะทำให้หน่วยงานท้องถิ่นซึ่งอยู่ใกล้ชิดและเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นได้ดีกว่าหน่วยงานกลาง และตัดสินใจแก้ปัญหาได้รวดเร็วกว่า แต่การกระจายอำนาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในด้านงบประมาณที่จะต้องถึงร้อยละ
35 ของงบประมาณแผ่นดินทั้งหมดเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขอีกหลายด้าน อาทิ ความพร้อมของ อปท. และประเภทของงานและหน่วยงานที่จะถ่ายโอน รวมถึงมาตรการป้องกันการทุจริต คอร์รัปชัน ฯลฯ

               อย่างไรก็ตาม การบริหารงานตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ได้แสดงความพยายามในการเตรียมความพร้อมของท้องถิ่น ในทางตรงกันข้ามรัฐบาลกลับพยายามรวมศูนย์และยึดโยงอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ประการสำคัญคือไม่พยายามถ่ายโอนเงิน งาน และคนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นการที่รัฐบาลแสดงจุดยืนที่กลับไปกลับมาเช่นนี้จึงน่าจะเป็นการพยายามเล่นการเมืองเพื่อหวังคะแนนเสียงเสียมากกว่า

ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังมีความสงสัยว่า การที่ ครม.ระบุว่าจะโอนเรื่องไปให้กับรัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการนั้น หากพรรคไทยรักไทยกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง มติ ครม.ในครั้งนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอีกหรือไม่ เหมือนดังที่เคยเกิดขึ้นในกรณีของมติ ครม. วันที่ 14 ธันวาคม 2547 ให้มีการชะลอการถ่ายโอนสถานศึกษาไปก่อน เพื่อหาเสียงกับกลุ่มครู แต่ต่อมาเมื่อ 30 สิงหาคม 2548 รัฐบาลกลับมีมติยกเลิก มติ ครม. 14 ธันวาคม 2547 โดยให้ ศธ. จึงเร่งรัดดำเนินการถ่ายโอนสถานศึกษาต่อไป ท่าทีเช่นนี้สะท้อนถึงความไม่จริงใจของรัฐบาลในการกระจายอำนาจ แต่ใช้ประเด็นนี้เป็นเงื่อนไขในการหาเสียงเท่านั้น

 



-------------------------------