จากภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันมีทิศทางชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
แต่รัฐบาลยังไม่ยอมรับความจริงว่า
เศรษฐกิจไทยจะไม่สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมาย
สังเกตได้จากภายหลังจากการแถลงข่าวของสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(สศช.)
รัฐบาลกลับแสดงท่าทียืนยันเป้าหมายเดิมออกมา
โดยกระทรวงพาณิชย์ให้ข่าวว่า
จะยังคงเป้าการส่งออกที่ร้อยละ
20
และกระทรวงการคลังออกมาแถลงผลการจัดเก็บรายได้สูงกว่าประมาณการ
นับเป็นการพยายามทำให้ประชาชนคิดว่า
เศรษฐกิจจะเป็นไปตามที่นายกฯ
เคยให้ความมั่นใจกับนักธุรกิจไว้
รัฐบาลพยายามสร้างความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ได้อยู่บนฐานของความเป็นจริง
หากพิจารณาเงื่อนไขที่
สศช.ระบุว่าจะมีผลทำให้เศรษฐกิจขยายตัวถึงร้อยละ
5
พบว่าสถานการณ์ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขเกือบทุกเงื่อนไข
อันได้แก่
เงื่อนไขแรก
สถานการณ์ราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงกว่าเงื่อนไขที่
สศช.ระบุไว้ที่
40-45
ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
โดยคาดว่า
ไตรมาส 3
และ 4
ราคาน้ำมันดิบดูไบ
ซึ่งเป็นราคาที่ประเทศไทยใช้อ้างอิง
จะอยู่ที่ระดับ
49.87
ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
เงื่อนไขที่
2
การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ
เพื่อนำมากระตุ้นเศรษฐกิจ
พบว่า
การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้ตามเป้าร้อยละ
80
เป็นไปได้ยากมาก
เพราะหากพิจารณาประสบการณ์การใช้จ่ายงบกลางปี
2547
รัฐบาลได้ตั้งงบฯไว้
5.9
หมื่นล้านบาท
มีการเบิกจ่ายไปเพียง
1.1
หมื่นล้านบาท
หรือเบิกจ่ายไปเพียงร้อยละ
18.6
เท่านั้น
เงื่อนไขที่
3
รัฐบาลพยายามชูการลงทุนในเมกะโปรเจกต์
ว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
แต่ในความเป็นจริง
การเร่งรัดการลงทุนเป็นไปได้ยาก
จนถึงขณะนี้มีการจัดสรรงบฯสำหรับเมกะโปรเจกต์ไปแล้วน้อยมาก
อีกทั้งการลงทุนใช่ว่าจะเริ่มได้ทันที
ต้องมีขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้
การยื่นแบบและประกวดราคา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ต้องใช้เวลามากในการเวนคืนที่ดิน
กระบวนการเหล่านี้
น่าจะใช้เวลามากกว่า
3 เดือน
ซึ่งเลยปี
2548
ไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น
การศึกษาของเศรษฐกรจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
ยังระบุว่า
โครงการเมกะโปรเจกต์ส่งผลต่อ
GDP
เพียงร้อยละ
0.2
เท่านั้น
เงื่อนไขที่
4
การกระตุ้นเศรษฐกิจต้องทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกประมาณ
2 แสนราย
และทำรายได้ท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกประมาณ
6.4
พันล้านบาท
ซึ่งหากพิจารณาข้อมูลการท่องเที่ยวในไตรมาสแรกของปี
2548
นักท่องเที่ยวลดลงร้อยละ
13
หรือหายไปกว่า
8 แสนคน
คาดว่าไตรมาส
2
น่าจะยังชะลอตัวอยู่
เนื่องจากเป็น
low
season
นักท่องเที่ยวจะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
น่าจะเป็นช่วงไตรมาสสุดท้าย
จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะทำให้การท่องเที่ยวขยายตัวได้ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้
ส่วนเงื่อนไขที่
5
รัฐบาลบอกว่า
การส่งออกต้องโตร้อยละ
15
โดยเน้นการผลักดันให้มีการส่งออกสินค้าเกษตร
เงื่อนไขนี้แม้มีความเป็นไปได้
แต่สัดส่วนการส่งออกสินค้าเกษตรมีเพียงร้อยละ
10.6
ของการส่งออกทั้งหมด
และหากเน้นการส่งออกในสินค้าประเภทอื่น
แม้จะทำให้การส่งออกขยายตัวเกินร้อยละ
15 แต่
GDP
อาจจะไม่โตมากนัก
เพราะมีต้นทุนนำเข้าสูง
ยิ่งกว่านั้น
แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวในปี
2548
ทำให้การขยายการส่งออกเป็นไปได้ยาก
การที่รัฐบาลเน้นเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
อาจสร้างปัญหาต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
และหากไม่ระมัดระวังอาจนำพาประเทศไปสู่วิกฤต
ผมขอเสนอว่า
รัฐบาลควรยอมรับความจริงว่า
เศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัว
อย่าส่งสัญญาณผิด
ควรให้ความสำคัญมากขึ้นกับเป้าหมายการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะดุลบัญชีเดินสะพัด
เงินเฟ้อ
และอัตราแลกเปลี่ยน
การลงทุนในเมกะโปรเจกต์ต้องมีแผนในภาพรวมที่ชัดเจน
และรอบคอบ
ไม่ควรเร่งรีบลงทุนเพียงเพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ
แต่อาจสร้างปัญหาต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง
เพื่อนมีความคิดเห็นและข้อเสนอแนะอย่างไรเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
สามารถส่ง
E-mail
มาถึงผมได้นะครับ |