หลังจากที่ได้มีการลอบวางระเบิดก่อความไม่สงบมาแล้วใน
3
จังหวัดชายแดนภาคใต้และล่าสุดที่
อ.
หาดใหญ่ จ.
สงขลา
จนทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องสังเวยชีวิตไปกับการกระทำที่โหดร้ายดังกล่าวนี้ไปแล้วมากมาย
รัฐบาลโดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ
(สมช.)
ได้ประกาศให้มีการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้มีระดับความเข้มข้นมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เสี่ยงภัยต่าง
ๆ กว่า
181
แห่งทั่วประเทศ
ผมนึกเสียดายว่าหากมาตรการดังกล่าวมีมาก่อนหน้านี้สัก
1
เดือน
ความสูญเสียต่าง
ๆ
ทั้งชีวิตและทรัพย์สินจากการลอบวางระเบิดที่
อ.
หาดใหญ่คงไม่เกิดรุนแรงถึงเพียงนี้
ทั้ง ๆ
ที่ก่อนหน้านี้หน่วยงานด้านการข่าวของภาครัฐได้รับข้อมูลมาแล้วว่าคนร้ายมีแผนจะก่อเหตุใน
อ.
หาดใหญ่ และ จ.
ภูเก็ต
แต่อาจด้วยความคิดที่ว่า
ไม่เป็นไร
หรือ ไม่น่าจะเกิดขึ้น
หรือ เหตุการณ์ไม่น่าจะรุนแรง
รัฐบาลจึงไม่ได้ดำเนินการป้องกันอย่างรัดกุมมากเพียงพอ
ต่อไป
สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือต้องลงทุนสร้างหลักประกันชีวิตให้ประชาชนทั้งประเทศเพื่อให้มั่นใจว่าจะอยู่อย่างปลอดภัยในพื้นที่ต่าง
ๆ
สิ่งที่รัฐบาลควรทำได้แก่
การติดตั้งกล้องวงจรปิดและการตรวจค้นร่างกายหรือการใช้เครื่องสแกนตรวจคนเข้าออกในสถานที่ที่เสี่ยงต่อการก่อการร้าย
อาทิ โรงแรม
สถานีขนส่ง
สถานีรถไฟ
ห้างสรรพสินค้า
สถานทูต ฯลฯ
การติดตั้งสัญญาณเตือนภัยตามจุดต่าง
ๆ
หากมีเหตุด่วนเหตุร้ายเกิดขึ้น
การอบรมให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับวิธีการเฝ้าระวังภัยด้วยตนเอง
และมาตรการป้องกันภัยก่อการร้ายอื่น
ๆ
ที่รัฐบาลควรเรียนรู้จากประเทศอื่น
ๆ
ที่ประสบปัญหาภัยก่อการร้ายเช่นเดียวกับประเทศไทย
การดำเนินการดังกล่าวเปรียบเสมือนการที่รัฐบาลได้
ซื้อประกันภัย
ให้กับประชาชนทั้งประเทศเป็นการลงทุนที่รัฐควรจัดสรรงบประมาณในส่วนนี้ไว้
ที่สำคัญควรทำไปอย่างต่อเนื่องระยะยาว
การสร้างระบบป้องกันภัยอย่างเข้มงวดรัดกุม
ไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศขาดความน่าเชื่อถือลงไปแต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้ามระบบการป้องกันภัยที่ดีจะเป็นการกอบกู้ความเชื่อมั่นของประเทศให้กลับคืนมาในเร็ววัน