Go www.kriengsak.com

ประวัติ

ครอบครัว

งานวิชาการ

กิจกรรม

Press

Contact us

ค้นหา

 

ขอคิดอย่างสร้างสรรค์

เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
 

ว่าด้วยช่องว่างของร่างแก้ไข ม.297


การแปรญัตติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 297 ในประเด็นคณะกรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญทั่วไปครั้งที่ 17 เมื่อวันพุธที่ 15 มิถุนายน ที่ผ่านมา พบว่ายังมีช่องว่างทางกฎหมายในหลายเรื่อง โดยเฉพาะในมาตรา 3 วรรค 2 ของร่างฉบับแก้ไขโดยคณะรัฐมนตรีได้เพิ่มเติมข้อความ วรรค 2 (หรือรัฐธรรมนูญมาตรา 297 วรรค 4) ว่า

“ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตผู้แห่งชาติผู้ใดตามวรรคสามหรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้คณะกรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติประกอบด้วยกรรมการเท่าที่มีอยู่ แล้วให้ดำเนินการสรรหาต่อไปได้”

และแม้ว่ากรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแปรญัตติร่างนี้จะได้แก้ไขเป็น

“ในกรณีที่มีเหตุทำให้ต้องมีการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติแต่มีกรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไม่ครบองค์ประกอบตามวรรคสามหรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้คณะกรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติประกอบด้วยกรรมการเท่าที่มีอยู่”

ข้อความที่สะท้อนให้เห็นช่องว่างทางกฎหมายยังคงเด่นชัดอยู่!
หากพิจารณาวรรคนี้ จะพบว่ามีข้อความที่คลุมเครือ อาจก่อให้เกิดปัญหาขึ้นได้ในอนาคต เพราะถูกตีความในทางมิชอบ และใช้ในทางที่ผิดได้ เช่น ข้อความที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการสรรหา หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้”
 
คำว่า “หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้” เป็นการใช้ภาษาคลุมเครือ ไม่มีเหตุผลรองรับที่เหมาะสม เพราะจะวัดอย่างไรว่า ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ในกรณีไปต่างประเทศ ป่วย จะถูกตีความว่าไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ด้วยหรือไม่ การบัญญัติเช่นนี้นับเป็นช่องว่างทางกฎหมาย อาจถูกใช้เป็นข้ออ้าง หรือช่องว่างในการใช้ประโยชน์ในการสรรหาได้ ที่สำคัญคณะกรรมการสรรหาฯ บางคนอาจถูกบีบให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ในเวลาดังกล่าว

ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต กรรมาธิการวิสามัญที่พิจารณาร่างฯนี้ควรพิจารณาในประเด็นนี้อย่างรอบคอบอีกครั้ง และเสนอว่าข้อความนี้ควรตัดทิ้งไปจะเหมาะสมและป้องกันปัญหาที่จะเกิดในระยะยาวได้มากกว่า

บทสรุปที่ได้จากการแปรญัตติร่างรัฐธรรมนูญมาตรานี้ จะกลายเป็นต้นแบบหรือบรรทัดฐาน เพื่อนำไปสู่การแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญมาตราอื่นที่เกี่ยวข้องกับการสรรหากรรมการองค์กรอิสระอีกหลาย ๆ องค์กรที่จะตามมา ดังนั้น เพื่อให้องค์กรอิสระสามารถทำหน้าที่ที่ก่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนในระยะยาว จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ทุกฝ่ายควรเห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนทุกคนในชาติร่วมกัน