จากการประชุมคณะกรรมาธิการต่างประเทศ วุฒิสภาเมื่อวันพุธที่ 8
มีนาคมที่ผ่านมามีการพิจารณาสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนจากต่างชาติ
โดยเชิญสภาหอการค้านานาชาติ จำนวน 10 ประเทศมาร่วมแสดงความคิดเห็น
และในวันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2549 คณะกรรมาธิการชุดเดียวกันจะเชิญทูตทุกประเทศที่ประจำประเทศไทยมาร่วมหารือสถานการณ์การเมืองของไทย
ในโอกาสนี้ผมจึงขอเรียกร้องต่อทูตทุกประเทศและหอการค้านานาชาติที่มีหน่วยงานที่สนใจจะเข้ามาร่วมลงทุนในเมกะโปรเจ็กต์
ในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ช่วยผลักดันเงื่อนไขต่าง ๆ ที่จะทำให้กระบวนการประมูลและการดำเนินการที่มีธรรมาภิบาล
(Good Governance)
ด้วยเหตุที่เงื่อนไขการประมูลนานาชาติของรัฐบาลเต็มไปด้วยความน่าสงสัยและเคลือบแคลงใจ
เพราะเงื่อนไขมีเพียงอย่างเดียว คือไม่มีเงื่อนไขใด ๆ
ประกอบกับสภาวะปัจจุบันของประเทศมีความไม่แน่นอน กลไกตรวจสอบต่าง ๆ
ของประเทศไม่สามารถทำงานได้เต็มศักยภาพ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกับต่างประเทศในการสร้างธรรมาภิบาลให้กับการลงทุน
โดยผมขอเสนอความร่วมมือ ดังนี้
ประการที่หนึ่ง ผลักดันให้ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมเป็นคณะกรรมการพิจารณาโครงการเมกะโปรเจ็กต์
โดยเลือกคณะกรรมการที่มีความเป็นกลาง ไม่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
และไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการนั้น ๆ ซึ่งแตกต่างจากเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนดให้นายกฯ
เป็นประธานคณะกรรมการ และมีนักการเมืองในคณะกรรมการ
ทั้งที่ไม่ควรให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะผู้กำหนดนโยบายกับผู้นำนโยบายมาปฏิบัติควรเป็นคนละกลุ่ม
เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน
ประการที่สอง
ผลักดันให้บริษัทที่จะเข้าร่วมประมูลเมกะโปรเจกต์ต้องไม่มีนักการเมือง
ญาติใกล้ชิดนัก
การเมือง หรือตัวแทน
(นอมินี) ของนักการเมืองถือหุ้นในบริษัทที่จะเข้าร่วมประมูล
เพื่อไม่ให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน
ประการที่สาม
ผลักดันให้มีการแก้กฎหมายที่เกี่ยวกับกระทำผิดของนักการเมืองให้ไม่มีการหมดอายุความ
โดยเฉพาะคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.)พิจารณาที่ปกติมีอายุความระหว่าง 5-15 ปี
เป็นไม่มีการหมดอายุความแทน
ประการที่สี่ ผลักดันให้กรมสอบสวนพิเศษตรวจสอบทรัพย์สินคณะกรรมการทุกคนที่มีส่วนในการพิจารณาคัดเลือกผู้ลงทุนในเมกะโปรเจกต์
เพื่อป้องกันปัญหาการจ่ายค่าตอบแทนให้คณะกรรมการที่อาจเป็นตัวแทนนักการเมืองเข้ามาแทรกแซงกระบวนการพิจารณาเพื่อให้ผู้ลงทุนบางรายได้ประโยชน์
หรือป้องกันการที่กรรมการใช้อำนาจในการแสวงหาประโยชน์ส่วนตน
ประการที่ห้า ผลักดันให้รัฐบาลต้องเปิดเผยหลักเกณฑ์การพิจารณาโครงการอย่างละเอียด
และเปิดเผยทีโออาร์หรือข้อกำหนดโครงการของทุกหน่วยงานที่ยื่นข้อเสนอเข้าร่วมการประมูลโครงการลงทุนขนาดใหญ่ก่อนพิจารณาคัดเลือกโครงการนั้น
เพื่อให้ประชาชนร่วมพิจารณาข้อเสนอต่าง ๆ เนื่องจากรัฐบาลกำหนดเงื่อนไขว่าจะไม่กำหนดข้อกำหนดโครงการ
ทำให้มีข้อสงสัยว่าหากแผนโครงการของแต่ละบริษัทมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน
รัฐบาลจะใช้เกณฑ์อะไรเลือกแผนของผู้เสนอโครงการ
ประการที่หก ผลักดันให้การประชุมของคณะกรรมการพิจารณาโครงการลงทุนขนาดใหญ่เป็นไปอย่างเปิดเผย
โดยอนุญาตให้สื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจสามารถร่วมฟังการประชุม
และต้องเปิดเผยบันทึกการประชุมและความเห็นที่คณะกรรมการแต่ละท่านแสดงความเห็นเป็นลายลักษณ์อักษร
เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลอย่างถูกต้องและครบถ้วน
ตลอดจนมีส่วนร่วมตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการด้วย
เงื่อนไขทั้งหกประการเป็นเพียงเงื่อนไขเบื้องต้นที่อยากให้ทูตทุกประเทศช่วยผลักดันเพื่อให้เกิดธรรมาภิบาลในการลงทุน
ซึ่งไม่เพียงประโยชน์จะเกิดกับประเทศไทยเท่านั้น
แต่จะทำให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรมต่อผู้ยื่นข้อเสนอโครงการเข้ามาด้วย