Go www.kriengsak.com

ประวัติ

ครอบครัว

งานวิชาการ

กิจกรรม

Press

Contact us

ค้นหา

 

 ขอเสนออย่างสร้างสรรค์


ความจริงที่นายกฯ ไม่ได้แถลง
The truth that the PM did not tell

 

11 กุมภาพันธ์ 2549

 

เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก

เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2549 ที่ผ่านมา        นายกรัฐมนตรีได้ไปบรรยายเรื่อง ‘ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ’ ที่สภาที่ปรึกษาฯ

 

ในฐานะอดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯชุดที่ 1 ผมได้ให้ความสนใจการบรรยายครั้งนี้มาก เพราะเป็นการไปเยือนสภาที่ปรึกษาฯครั้งที่ 2 ในรอบ 4 ปี แต่ผมแปลกใจที่นายกฯไม่ได้พูดถึงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับสภาที่ปรึกษาฯมากนัก แต่ส่วนใหญ่เป็นการบรรยายผลงานในรอบ 5 ปีของรัฐบาล ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเพียงข้อมูลเก่าและเป็นความจริงที่ไม่ครบถ้วน เพราะมีความจริงอีกหลายประการที่นายกฯไม่ได้พูด

การบริหารเศรษฐกิจติดกลุ่มแย่ที่สุดในภูมิภาค การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นผลจากการขยายตัวตามทิศทางเศรษฐกิจโลก เช่น ปี 2544 เศรษฐกิจไทยโต 2.2% ขณะที่เศรษฐกิจโลกโต 2.4% และปี 2547 เศรษฐกิจไทยโต 6.2% และเศรษฐกิจโลกโต 5.1% และหากพิจารณาการบริหารเศรษฐกิจในปี 2548 ประเทศไทยติดกลุ่มแย่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ดูได้จากอัตราการขยายตัวของจีดีพีต่ำกว่าประมาณการณ์เมื่อต้นปีเป็นสัดส่วนถึง 16% อยู่อันดับที่ 36 จาก 38 ประเทศ

ดุลบัญชีเดินสะพัดลดลงมากที่สุดในภูมิภาค แม้การขาดดุลฯส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นความบกพร่องของรัฐบาล ที่คาดการณ์ราคาน้ำมันผิดพลาด และใช้นโยบายอุดหนุนราคาน้ำมันนานเกินไป ทำให้การบริโภคน้ำมันไม่ลดลงตามราคาน้ำมันโลกที่เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในปี 2548 จึงแย่กว่าประมาณการณ์เมื่อต้นปีถึง 4.1% GDP หรือคิดเป็นอันดับที่ 28 จาก 28 ประเทศในเอเชียแปซิฟิกที่มีข้อมูลตัวนี้

ความเหลื่อมล้ำในภาคเกษตรเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นเกิดจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ภาวะภัยแล้ง และความต้องการของโลกเพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาที่เพิ่มขึ้นจะทำให้รายได้รวมภาคเกษตรเพิ่มขึ้น แต่เกษตรกรไม่ได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึงกัน เพราะการกระจายรายได้ของประชากรในภาคเกษตรแย่ลง โดยส่วนแบ่งของเกษตรกร 20%ที่มีรายได้ต่ำสุด มีสัดส่วนรายได้ลดลงจาก 5.7% ในปี 2543 เป็น 4.5% ในปี 2547 ขณะที่เกษตรกร 20%ที่มีรายได้สูงสุด มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นจาก 52.4% เป็น 55.4%

หนี้ต่อรายได้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น สัดส่วนคนยากจนที่ลดลงเป็นเรื่องธรรมดาในภาวะเศรษฐกิจปกติ แต่คนที่อยู่ใต้เส้นความยากจนสะท้อนเพียงภาวะด้านรายได้เท่านั้น แต่ไม่ได้สะท้อนภาวะด้านรายจ่ายและหนี้ที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2544-2547 รายจ่ายและหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้ ทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นจาก 5.63 เท่าของรายได้ครัวเรือน เป็น 6.99 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

งบประมาณไม่สมดุลจริง แม้ว่ารัฐบาลประกาศว่าได้จัดทำงบปี 2548 แบบสมดุล แต่ในความเป็นจริง รัฐบาลใช้งบแบบขาดดุล เพราะ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2547 มีเงินคงคลัง 1.46 แสนล้านบาท และหนี้ตั๋วเงินคลัง 1.7 แสนล้านบาท แต่สิ้นปีงบประมาณ 2548 เงินคงคลังเหลืออยู่ 1.04 แสนล้านบาท ขณะที่หนี้ตั๋วเงินคลังยังอยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาทเท่าเดิม หรือหมายความว่าเงินคงคลังลดลง 4.2 หมื่นล้านบาท แสดงว่างบประมาณปี 2548 เป็นงบประมาณแบบขาดดุล ทั้งนี้หากรัฐบาลไม่ถังแตกแล้ว ทำไมต้องใช้เงินคงคลัง ทำไมต้องออกตั๋วเงินคลัง และทำไมจะต้องออกบอนด์เพื่อแปลงหนี้ตั๋วเงินคลังเป็นหนี้ระยะยาว

ซ่อนภาระผูกพันและหนี้สาธารณะ รัฐบาลได้พัฒนาวิธีการซ่อนหนี้และภาระผูกพันไว้จำนวนมาก อาทิ หนี้กองทุนหมู่บ้าน หนี้เงินกู้พม่าของ EXIM Bank การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อย้ายหนี้รัฐวิสาหกิจออกจากบัญชีหนี้สาธารณะ การจัดตั้ง SPV เพื่อกู้เงินจากเอกชนโดยไม่ปรากฏเป็นหนี้สาธารณะ หนี้กองทุนน้ำมัน รวมทั้งการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่อาจทำให้รัฐต้องอุดหนุนในระยะยาว โดยเท่าที่ผมค้นพบข้อมูลมีมูลค่าภาระผูกพันและหนี้ที่ซุกอยู่รวมกันถึง 546,944 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย ซึ่งหนี้และภาระผูกพันเหล่านี้จะกลายเป็นภาระต่องบประมาณ หรือเป็นหนี้สาธารณะ หรือภาระต่อประชาชนในอนาคต

พึ่งพาต่างประเทศมากขึ้น ความพยายามพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ทิศทางการพัฒนาประเทศที่ผ่านมากลับเน้นการพึ่งพาต่างประเทศมากขึ้น เพราะรัฐบาลรีบเร่งเปิด FTA เพื่อขยายการค้าระหว่างประเทศ ทำให้สัดส่วนการส่งออกต่อ GDP เพิ่มขึ้นจาก 56.35% ในปี 2543 เป็น 59.58% ในปี 2547 ขัดแย้งกับเป้าหมายที่รัฐบาลเคยตั้งไว้ว่า จะลดสัดส่วนการส่งออกให้เหลือ 35%

ผมเห็นด้วยว่าประเทศไทยไม่สามารถต้านทานกระแสโลกาภิวัตน์ได้ และเห็นด้วยว่า รัฐบาลต้องสร้างความไว้วางใจและความเชื่อมั่น (trust and confidence) ซึ่งเกิดจากการบริหารจัดการที่ดี สินค้าที่มีคุณภาพ และความโปร่งใส แต่การสร้างความโปร่งใสจะเกิดผลได้ ผู้นำต้องเป็นแบบอย่างที่ดีด้วย ผมจึงเรียกร้องให้นายกฯ เลิกใช้วิธีการเก่า ๆ คือการพูดความจริงเพียงบางด้าน เพราะความเชื่อมั่นไม่ได้เกิดจากการสร้างภาพ แต่เกิดจากการรู้ความจริงและความเข้าใจสภาพที่แท้จริง