เมื่อวันที่
9
กุมภาพันธ์
2549
ที่ผ่านมา
นายกรัฐมนตรีได้ไปบรรยายเรื่อง
ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่สภาที่ปรึกษาฯ
ในฐานะอดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯชุดที่
1
ผมได้ให้ความสนใจการบรรยายครั้งนี้มาก เพราะเป็นการไปเยือนสภาที่ปรึกษาฯครั้งที่
2
ในรอบ
4
ปี
แต่ผมแปลกใจที่นายกฯไม่ได้พูดถึงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับสภาที่ปรึกษาฯมากนัก
แต่ส่วนใหญ่เป็นการบรรยายผลงานในรอบ 5
ปีของรัฐบาล
ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเพียงข้อมูลเก่าและเป็นความจริงที่ไม่ครบถ้วน เพราะมีความจริงอีกหลายประการที่นายกฯไม่ได้พูด
การบริหารเศรษฐกิจติดกลุ่มแย่ที่สุดในภูมิภาค
การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นผลจากการขยายตัวตามทิศทางเศรษฐกิจโลก
เช่น ปี 2544
เศรษฐกิจไทยโต
2.2%
ขณะที่เศรษฐกิจโลกโต 2.4%
และปี
2547
เศรษฐกิจไทยโต
6.2%
และเศรษฐกิจโลกโต 5.1%
และหากพิจารณาการบริหารเศรษฐกิจในปี
2548
ประเทศไทยติดกลุ่มแย่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก
ดูได้จากอัตราการขยายตัวของจีดีพีต่ำกว่าประมาณการณ์เมื่อต้นปีเป็นสัดส่วนถึง
16%
อยู่อันดับที่
36
จาก
38
ประเทศ
ดุลบัญชีเดินสะพัดลดลงมากที่สุดในภูมิภาค
แม้การขาดดุลฯส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นความบกพร่องของรัฐบาล ที่คาดการณ์ราคาน้ำมันผิดพลาด
และใช้นโยบายอุดหนุนราคาน้ำมันนานเกินไป
ทำให้การบริโภคน้ำมันไม่ลดลงตามราคาน้ำมันโลกที่เพิ่มขึ้น
ด้วยเหตุนี้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในปี
2548
จึงแย่กว่าประมาณการณ์เมื่อต้นปีถึง
4.1% GDP
หรือคิดเป็นอันดับที่ 28
จาก
28
ประเทศในเอเชียแปซิฟิกที่มีข้อมูลตัวนี้
ความเหลื่อมล้ำในภาคเกษตรเพิ่มขึ้น
ราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นเกิดจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ภาวะภัยแล้ง
และความต้องการของโลกเพิ่มขึ้น
แม้ว่าราคาที่เพิ่มขึ้นจะทำให้รายได้รวมภาคเกษตรเพิ่มขึ้น
แต่เกษตรกรไม่ได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึงกัน
เพราะการกระจายรายได้ของประชากรในภาคเกษตรแย่ลง โดยส่วนแบ่งของเกษตรกร
20%ที่มีรายได้ต่ำสุด
มีสัดส่วนรายได้ลดลงจาก 5.7%
ในปี
2543
เป็น
4.5%
ในปี
2547
ขณะที่เกษตรกร 20%ที่มีรายได้สูงสุด
มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นจาก
52.4%
เป็น
55.4%
หนี้ต่อรายได้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น
สัดส่วนคนยากจนที่ลดลงเป็นเรื่องธรรมดาในภาวะเศรษฐกิจปกติ
แต่คนที่อยู่ใต้เส้นความยากจนสะท้อนเพียงภาวะด้านรายได้เท่านั้น
แต่ไม่ได้สะท้อนภาวะด้านรายจ่ายและหนี้ที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ตั้งแต่ปี
2544-2547
รายจ่ายและหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้
ทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นจาก
5.63
เท่าของรายได้ครัวเรือน เป็น
6.99
เท่าในช่วง 5
ปีที่ผ่านมา
งบประมาณไม่สมดุลจริง
แม้ว่ารัฐบาลประกาศว่าได้จัดทำงบปี
2548
แบบสมดุล
แต่ในความเป็นจริง รัฐบาลใช้งบแบบขาดดุล เพราะ ณ สิ้นปีงบประมาณ
2547
มีเงินคงคลัง
1.46
แสนล้านบาท
และหนี้ตั๋วเงินคลัง 1.7
แสนล้านบาท
แต่สิ้นปีงบประมาณ 2548
เงินคงคลังเหลืออยู่ 1.04
แสนล้านบาท ขณะที่หนี้ตั๋วเงินคลังยังอยู่ที่
1.7
แสนล้านบาทเท่าเดิม หรือหมายความว่าเงินคงคลังลดลง
4.2
หมื่นล้านบาท
แสดงว่างบประมาณปี 2548
เป็นงบประมาณแบบขาดดุล ทั้งนี้หากรัฐบาลไม่ถังแตกแล้ว ทำไมต้องใช้เงินคงคลัง
ทำไมต้องออกตั๋วเงินคลัง และทำไมจะต้องออกบอนด์เพื่อแปลงหนี้ตั๋วเงินคลังเป็นหนี้ระยะยาว
ซ่อนภาระผูกพันและหนี้สาธารณะ
รัฐบาลได้พัฒนาวิธีการซ่อนหนี้และภาระผูกพันไว้จำนวนมาก อาทิ หนี้กองทุนหมู่บ้าน
หนี้เงินกู้พม่าของ EXIM Bank
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อย้ายหนี้รัฐวิสาหกิจออกจากบัญชีหนี้สาธารณะ การจัดตั้ง
SPV
เพื่อกู้เงินจากเอกชนโดยไม่ปรากฏเป็นหนี้สาธารณะ หนี้กองทุนน้ำมัน
รวมทั้งการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่อาจทำให้รัฐต้องอุดหนุนในระยะยาว
โดยเท่าที่ผมค้นพบข้อมูลมีมูลค่าภาระผูกพันและหนี้ที่ซุกอยู่รวมกันถึง
546,944
ล้านบาทเป็นอย่างน้อย ซึ่งหนี้และภาระผูกพันเหล่านี้จะกลายเป็นภาระต่องบประมาณ
หรือเป็นหนี้สาธารณะ หรือภาระต่อประชาชนในอนาคต
พึ่งพาต่างประเทศมากขึ้น
ความพยายามพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดี
แต่ทิศทางการพัฒนาประเทศที่ผ่านมากลับเน้นการพึ่งพาต่างประเทศมากขึ้น
เพราะรัฐบาลรีบเร่งเปิด FTA
เพื่อขยายการค้าระหว่างประเทศ ทำให้สัดส่วนการส่งออกต่อ
GDP
เพิ่มขึ้นจาก
56.35%
ในปี
2543
เป็น
59.58%
ในปี
2547
ขัดแย้งกับเป้าหมายที่รัฐบาลเคยตั้งไว้ว่า จะลดสัดส่วนการส่งออกให้เหลือ
35%
ผมเห็นด้วยว่าประเทศไทยไม่สามารถต้านทานกระแสโลกาภิวัตน์ได้
และเห็นด้วยว่า รัฐบาลต้องสร้างความไว้วางใจและความเชื่อมั่น
(trust and confidence)
ซึ่งเกิดจากการบริหารจัดการที่ดี สินค้าที่มีคุณภาพ และความโปร่งใส
แต่การสร้างความโปร่งใสจะเกิดผลได้ ผู้นำต้องเป็นแบบอย่างที่ดีด้วย
ผมจึงเรียกร้องให้นายกฯ เลิกใช้วิธีการเก่า ๆ คือการพูดความจริงเพียงบางด้าน
เพราะความเชื่อมั่นไม่ได้เกิดจากการสร้างภาพ
แต่เกิดจากการรู้ความจริงและความเข้าใจสภาพที่แท้จริง