เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
จากข่าวการประกาศของวอร์เรน
บัฟเฟตต์
อภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลกวัย
75 ปี
ที่มีแผนจะบริจาคเงินร้อยละ
85
จากที่มีอยู่ทั้งหมด
44,000
ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่องค์กรการกุศล
ซึ่งเงินบริจาคส่วนใหญ่จะตกไปเป็นของมูลนิธิบิลและเมลินดา
เกตส์
(Bill &
Melinda
Gates
Foundation)
มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก
ที่เป็นเพื่อนสนิทของบัฟเฟตต์
เพื่อใช้ในการสนับสนุนการค้นคว้าทางการแพทย์และการให้ทุนการศึกษา
ข่าวดังกล่าวไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด
เพราะเราคงจะเคยได้ยินอยู่เสมอว่ามหาเศรษฐีหลายคนในต่างประเทศที่บริจาคเงินเป็นจำนวนมากแก่องค์กรการกุศล
แต่เมื่อหันมาเปรียบเทียบกับเศรษฐีของเมืองไทย
เราอาจจะเกิดคำถามขึ้นว่า
“เศรษฐีเมืองนอกใจบุญกว่าเศรษฐีไทยหรือ?”
ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ความใจบุญของมหาเศรษฐีต่างประเทศ
หรือความรวยเหลือเฟือจนสามารถบริจาคได้เป็นจำนวนมากโดยไม่นึกเสียดาย
แต่เป็นเพราะมาตรการทางภาษีที่เป็นกลไกในการบังคับและจูงใจให้เศรษฐีในประเทศสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องบริจาคเงินแก่องค์กรการกุศล
มาตรการทางภาษีที่กล่าวถึงในที่นี้คือ
“ภาษีมรดก”
ซึ่งภาษีมรดกในสหรัฐอเมริกาเป็นภาษีกองมรดก
(estate
tax)
และภาษีการรับมรดก
(inheritance
tax)
ที่มีการจัดเก็บทั้งในระดับรัฐบาลกลางและรัฐบาลของแต่ละมลรัฐ
ภาษีมรดกในระดับรัฐบาลกลางของสหรัฐนั้นเป็นภาษีกองมรดก
ที่จัดเก็บจากการโอนทรัพย์สินที่เก็บภาษีได้
(taxable
estate)
จากผู้ตายซึ่งเป็นพลเมืองหรือผู้ที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกาไปยังทายาทผู้รับมรดก
โดยอัตราการจัดเก็บภาษีนั้นจะคำนวณจากผลประโยชน์ของทรัพย์สิน
ณ
เวลาที่เจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิตลง
ทั้งนี้ในปี
2549
กองมรดกที่ต้องเสียภาษีจะต้องมีมูลค่าสูงกว่า
2
ล้านดอลลาร์สหรัฐ
และมีอัตราการจัดเก็บภาษีสูงสุดที่ร้อยละ
46
ของมูลค่าผลประโยชน์ของทรัพย์สินทั้งหมด
ณ
เวลาที่เสียชีวิตลง
ภาษีมรดกในระดับมลรัฐของสหรัฐนั้นเป็นภาษีกองมรดกและ/หรือภาษีการรับมรดก
โดยบางรัฐใช้มาตรการภาษีกองมรดกเช่นเดียวกับรัฐบาลกลาง
กล่าวคือหากรัฐบาลกลางมีเงื่อนไขในการยกเว้นภาษีอย่างไร
รัฐบาลท้องถิ่นจะใช้เงื่อนไขดังกล่าวด้วย
ขณะที่บางรัฐใช้กฎหมายภาษีกองมรดกที่เป็นอิสระจากรัฐบาลกลาง
ส่วนภาษีการรับมรดกเป็นการอุดช่องว่างการหลบเลี่ยงภาษีกองมรดกโดยจัดเก็บจากผู้รับมรดก
อย่างไรก็ตาม
ทรัพย์สินบางประเภทจะได้รับข้อยกเว้นโดยไม่ถูกนำมาคำนวณอัตราภาษี
ได้แก่
ค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพ
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่าง
ๆ
สิทธิเรียกร้องจากทรัพย์สิน
สินสมรสที่ถือครองโดยคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่
และประการสำคัญคือทรัพย์สินที่บริจาคให้มูลนิธิเพื่อการกุศล
ข้อยกเว้นดังกล่าวนับเป็นเงื่อนไขที่จูงใจแกมบังคับให้มหาเศรษฐีในสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องบริจาคเงินจำนวนมากให้กับมูลนิธิต่าง
ๆ
เนื่องจากมหาเศรษฐีเหล่านี้ไม่ต้องการที่จะเสียทรัพย์สินจำนวนมาก
(เกือบครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินทั้งหมด)
ที่ตนหามาได้จากการทำงานมาตลอดชีวิตในรูปของภาษีทั้งหมด
แต่เหตุผลที่สำคัญมากกว่าคือ
เงินบริจาคส่วนใหญ่มักจะมอบให้แก่องค์กรการกุศลที่ผู้บริจาคสามารถควบคุมได้
หรือเป็นมูลนิธิที่ทำกิจกรรมการกุศลที่สร้างภาพลักษณ์ให้แก่องค์กรธุรกิจที่ผู้บริจาคเป็นเจ้าของหรือหุ้นส่วน
เงินบริจาคดังกล่าวจึงเป็นเสมือนเงินลงทุนในการประชาสัมพันธ์องค์กรธุรกิจ
ซึ่งผู้บริจาคจะได้ประโยชน์มากกว่านำไปเสียภาษีมรดก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในยุคที่สังคมเรียกร้องให้องค์กรธุรกิจจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม
(Corporate
Social
Responsibility:
CSR)
งบประมาณสำหรับการทำกิจกรรมเพื่อสังคมจึงเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นสำหรับองค์กรธุรกิจสมัยใหม่
ภาษีมรดกจึงเป็นมาตรการที่บังคับทางอ้อมให้องค์กรธุรกิจจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือสังคมมากขึ้นด้วย
แม้ว่าผู้ที่คัดค้านภาษีมรดกมักจะอ้างว่า
ภาษีมรดกจะไม่ได้ทำให้รัฐบาลมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอย่างเป็นกอบเป็นกำ
แต่ภาษีมรดกที่จัดเก็บในอัตราที่เหมาะสมและมีเงื่อนไขการจัดเก็บที่เหมาะสม
อาจจะช่วยให้เกิดสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์
(win-win
situation)
กล่าวคือรัฐบาลได้ภาษีเพิ่มขึ้นบ้าง
สังคมได้รับการช่วยเหลือ
และธุรกิจได้ประโยชน์จากการสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร
มหาเศรษฐีเมืองนอกจึงไม่ได้ใจบุญมากกว่ามหาเศรษฐีเมืองไทย
เพียงแต่โครงสร้างภาษีในต่างประเทศจูงใจให้เศรษฐีฝรั่งต้องบริจาคเงิน
ขณะที่โครงสร้างภาษีในประเทศไทยยังขาดความเป็นธรรม
ทำให้เศรษฐีเมืองไทยส่วนใหญ่ดูเหมือนตระหนี่ถี่เหนียว
|