เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
เมื่อไม่นานนี้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
(สศก.)
ได้เสนอแผนการปรับโครงสร้างภาคเกษตรใหม่
เพื่อให้เกษตรกรสามารถรับมือกับการเปิดเขตการค้าเสรี
(เอฟทีเอ)
ได้
โดยแบ่งสินค้าเกษตรออกเป็น
3
กลุ่ม
เพื่อพัฒนาตามศักยภาพ
สร้างผลผลิตเพิ่ม
สร้างความเข้มแข็ง
และเชื่อมโยงกับตลาดโลก
นอกจากนี้ยังตั้งกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรรองรับข้อตกลงเอฟทีเอ
100
ล้านบาท
การปรับโครงสร้างภาคเกษตรเป็นแนวทางที่ดี
แต่ผมไม่เข้าใจว่าเหตุใดรัฐบาลถึงเพิ่งจะมาทำ
เนื่องจาก
ไทยได้ลงนามเอฟทีเอไปแล้ว
3
ประเทศ คือ
ออสเตรเลีย กับ
จีน
อินเดียบางส่วน
และการทำเอฟทีเอที่ผ่านมามีข้อวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากว่ารัฐบาลรีบเร่งดำเนินโดยไม่ศึกษาให้รอบคอบก่อนและขาดการมีส่วนร่วมประชาชนในการตัดสินใจ
แต่รัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องมักจะออกมายืนยันว่าได้ศึกษาอย่างรอบคอบแล้ว
และประชาชนจะได้รับประโยชน์จากการทำเอฟทีเอ
แต่ผลที่เกิดขึ้นนั้นสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนมากกว่า
เช่น การทำเอฟทีเอกับจีน
ราคาผักผลไม้
19
รายการมีแนวโน้มตกลง
โดยเฉพาะสินค้าเกษตร
3
รายการ คือ
กระเทียม หอมแดง
หอมหัวใหญ่
ซึ่งกระทบเกษตรกรจำนวนมาก
ประมาณ
500,000
คน
นอกจากนี้ปัจจุบันลำไยราคายังตกลงกว่าร้อยละ
25
ทุเรียนราคาตกลง
ร้อยละ 10
มังคุดราคาตกลงร้อยละ
22
ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำสุดในรอบ
10
ปี เป็นต้น
สิ่งนี้ทำให้เห็นว่ารัฐบาลขาดความรอบคอบ
และเน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่าป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น
ในปีนี้ยังมีอีกหลายประเทศที่รัฐบาลต้องการเจรจาเอฟทีเอให้แล้วเสร็จ
เช่น
สหรัฐอเมริกา
ญี่ปุ่น เป็นต้น
การทำเอฟทีเอจะทำให้เกษตรกรต้องมีความเสี่ยงมากขึ้น
จากการแข่งขันที่มากขึ้น
ดังนั้นรัฐบาลควรคิดให้
สุด
เสียก่อน
เพื่อไม่ให้ประชาชนจำนวนมากต้องได้รับผลจากการดำเนินการที่ไม่รอบคอบของรัฐบาล |