เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
การที่สมาคมผู้ค้าปลีกไทยร้องเรียนต่อกระทรวงพาณิชย์ให้เร่งแก้ปัญหาค้าปลีกสมัยใหม่
(Modern
trade)
ที่ทำการขยายสาขาจำนวนมาก
ส่งผลให้ผู้ค้าปลีกรายย่อยของไทยไม่สามารถแข่งขันได้
และปิดกิจการไปในที่สุด
โดยปัจจุบันค้าปลีกสมัยใหม่มีมากกว่า
6,000
สาขาทั่วประเทศไม่ให้รุกคืบจนยึดพื้นที่ทุกตรอกซอกมุม
ปิดทางทำมาหากินของผู้ค้าปลีกรายย่อย
แม้รัฐบาลเริ่มทำท่าขยับตัวปัดฝุ่นแนวปฏิบัติทางการค้า
8
ข้อ
ที่มีการจัดทำมาตั้งแต่ปี
2545
แต่ไม่พ้นข้อครหาว่าเลือกปฏิบัติ
เนื่องจากคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าชุดใหม่เป็นตัวแทนจากผู้ผลิตเป็นหลัก
ไม่มีตัวแทนจากผู้ประกอบการค้าปลีกเลย
อย่างไรก็ตาม
ผมเห็นว่าการแก้ปัญหาเรื่องนี้
ไม่เพียงแต่การออกมาตรการจำกัดพื้นที่การขยายสาขาของธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่
หรือการเสนอมาตรการที่ทำให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมเท่านั้น
แต่รวมถึงการป้องกันการผูกขาด
และการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากการขยายสาขาของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ที่ผ่านมาด้วย
อาทิ
การจัดทำตัวชี้วัดการผูกขาดทางการค้า
เพื่อเป็นเครื่องมือในการวัดว่ามีการผูกขาดทางค้าในแต่ละพื้นที่หรือไม่
และหากพบว่ามีการผูกขาดทางการค้าในพื้นที่ใด
ผู้ประกอบการจะต้องจ่ายค่าปรับเนื่องการผูกขาดทางการค้า
เพื่อนำเงินส่วนนี้มาชดเชยให้กับผู้ที่จะได้รับกระทบจากการผูกขาดทางการค้าจากธุรกิจดังกล่าว
พร้อมทั้งบังคับให้ลดขนาดของกิจการที่ผูกขาดให้เล็กลง
เหมือนดังบริษัทไมโครซอฟต์ที่ถูกปรับ
618
ล้านดอล์ลาร์ฐานละเมิดกฎหมายการต่อต้านการผูกขาดของตลาดอียู
และกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐสั่งให้บริษัทไมโครซอฟต์แตกออกเป็นบริษัทเล็ก
ๆ
จัดตั้งกองทุนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ
แม้การขยายสาขาธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่บางแห่ง
ไม่ทำให้เกิดการผูกขาดทางการค้า
แต่ในการขยายสาขาของธุรกิจค้าปลีก
ย่อมมีผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการดังกล่าว
อาทิ อาจทำให้ร้านค้าปลีกขนาดเล็กและกลางต้องปิดตัวลง
ส่งผลให้เกิดการว่างงาน
ฯลฯ
ดังนั้น
ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ควรมีส่วนร่วมในการจ่ายค่าชดเชยในส่วนนี้
ในรูปแบบของภาษีชดเชยผู้ได้รับกระทบ
เพื่อนำเงินภาษีมาจัดตั้งกองทุนชดเชยหรือช่วยเหลือผู้ประกอบการโชว์ห่วยที่ได้รับผลกระทบต่อไป
ผมหวังว่า
ข้อเสนอดังกล่าวจะเป็นทางออกหนึ่งในการแก้ปัญหาโชว์ห่วยของไทย
เพราะผมไม่อยากเห็นการแก้ปัญหาแบบขอไปที
เมื่อมีคนมาร้องเรียนก็เต้นที่จะแก้ปัญหา
แต่หากไม่มีการร้องเรียนปัญหาต่างๆ
ก็ถูกดองไว้เหมือนเดิม
|