การแถลงข่าวเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลตลอด 5
ปีที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 9
กุมภาพันธ์นั้น
ผมได้เปรียบเทียบนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลเหมือนการวางยาประชาชนหลายขนาน กล่าวคือ
นโยบายเศรษฐกิจแอลเอสดี
(ยาหลอนประสาท)
คือ
นโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลพยายามชูภาพในด้านดีว่าเมื่อแปรรูปสาธารณูปโภคพื้นฐานแล้ว
จะทำให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพ เกิดการขยายศักยภาพในการปฎิบัติงาน
กำไรที่ได้จะนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศเป็นการสร้างภาพให้ประชาชนเห็นแต่สิ่งที่ดี
บิดเบือนความเข้าใจของประชาชนเพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงจากการแปรรูปที่เห็นได้จาก
ป.ต.ท.
คือ
การให้เอกชนเข้ามาเป็นเจ้าของ เลยไปถึงรัฐบาลและเอกชนเป็นคนคนเดียวกัน
คือเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างผู้กำหนดนโยบายและผู้ประกอบธุรกิจ
ทำให้ธุรกิจนี้ไม่เกิดการแข่งขัน กลายเป็นธุรกิจผูกขาด
ส่งผลให้ประชาชนใช้สาธารณูปโภคในราคาที่สูงขึ้น
ตัวอย่างการแปรรูปฯ กฟผ.
มีการประมาณกันว่าเมื่อมีการแปรรูปจะทำให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทันทีอย่างน้อย
10%
และในระยะยาว
ค่าไฟฟ้าจะสูงขึ้นเท่าตัว เพราะเป็นการผูกขาดโดยเอกชนที่แสวงหากำไรสูงสุด ส่งผลให้
GDP
ลดลง
2.7%
เงินเฟ้อ สูงขึ้น
3%
การจ้างงาน ลดลง
7.2%
การส่งออกสินค้าและบริการลดลง
5.3%
สวัสดิการสังคม ลดลงถึง
5.1
แสนล้านบาท
!!
เป็นการทำลายความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนอย่างแท้จริง
นโยบายเศรษฐกิจแอมเฟตามีน
(ยาบ้า)
ได้แก่ นโยบายประชานิยมต่าง ๆ เช่น พักชำระหนี้ กองทุนหมู่บ้าน ปรับโครงสร้างหนี้
โครงการเอื้ออาทร เป็นต้น
สรรพคุณของนโยบายทำให้ประชาชนรู้สึกกระชุ่มกระชวยในช่วงแรก
เพราะได้รับประโยชน์ระยะสั้นจากนโยบาย แต่แก้ปัญหาไม่ได้จริง ประชาชนจะเสพติดนโยบาย
โดยมีความต้องการนโยบายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ขาดไม่ได้
และหากใช้ไปในระยะยาวจะส่งผลเสียต่อสุขภาพทางเศรษฐกิจของประชาชนแต่ละคน
และเศรษฐกิจของประเทศ
รัฐบาลใช้นโยบายให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย และเป็นหนี้กันมากขึ้น
เมื่อชำระหนี้ไม่ไหว รัฐบาลออกนโยบายปรับโครงสร้างหนี้
ส่งผลให้ประชาชนเกิดค่านิยมที่ผิดต่อการชำระหนี้ ตลอด
5
ปีที่ผ่านมารายได้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ
5.3
ต่อปี รายจ่ายครัวเรือนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ
5.7
ต่อปี แต่หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ
11.2
ต่อปี หากทิศทางยังคงเป็นเช่นนี้ สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ทั้งปีของครัวเรือน
จะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 60
ในปัจจุบัน เป็นร้อยละ
80
ในปี
2553
นโยบายเศรษฐกิจสเตอร์รอยด์
คือนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ซึ่งหากใช้ในปริมาณที่เหมาะสมจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัว
แต่หากใช้ในปริมาณมากเกินไปจะก่อให้เกิดปัญหาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
เช่นเดียวกับการใช้สเตอร์รอยด์เพื่อเพิ่มศักยภาพของกล้ามเนื้อ
แต่หากใช้มากเกินไปจะไปทำลายอวัยวะอื่น ตลอด
5
ปีที่ผ่านมารัฐบาลใช้เงินทั้งในงบประมาณและนอกงบประมาณเพื่อใช้จ่ายในโครงการต่าง
ๆ และสร้างภาระผูกพันที่จะต้องจ่ายคืนในอนาคตจำนวนมาก เป็นการสร้างภาระให้ลูกหลาน
ยิ่งไปกว่านั้นการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ถึง
1.8
ล้านล้านบาท อาจก่อให้เกิดปัญหาการขาดเสถียรภาพการคลังและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด