เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
การที่กระทรวงสาธารณสุขแสดงความกล้าหาญประกาศบังคับใช้สิทธิกับยาที่ติดสิทธิบัตร
2 รายการ
ให้สามารถผลิตหรือนำเข้ายาเลียนแบบจากประเทศที่สาม
ตามมาตรการบังคับใช้สิทธิ
หรือ
compulsory
licensing
(CL)
ภายใต้พระราชบัญญัติสิทธิบัตร
โดยให้เหตุผลว่า
ราคาจำหน่ายยามีราคาแพง
ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงยาดังกล่าวได้
เหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดความวิตกกังวลต่อบริษัทเจ้าของสิทธิบัตรยาต่างประเทศ
เพราะหมายถึงอำนาจผูกขาดในการจำหน่ายยาของบริษัทเหล่านี้จะหมดไป
นำมาซึ่งผลกำไรของบริษัทที่จะลดลง
สถานการณ์ดังกล่าว
เป็นตัวอย่างหนึ่งของปัญหาที่เกิดจากการที่ผู้ผลิตยาใช้อำนาจผูกขาดทางการค้าที่ได้มาจากการจดสิทธิบัตร
ในการกำหนดราคาสินค้าที่สูงเกินจริง
หรือการควบคุมจำนวนการผลิตสินค้า
จนทำให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบ
เป้าหมายที่แท้จริงของการจดสิทธิบัตร
หรือการให้อำนาจผูกขาดกับผู้จดสิทธิบัตร
เป็นไปเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการคิดค้นสิ่งใหม่
และช่วยคุ้มครองให้ผู้ที่คิดค้นนวัตกรรมสามารถอยู่รอดได้
เนื่องจากการคิดค้นนวัตกรรมต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก
และมีความเสี่ยงสูงที่การคิดค้นอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ
แต่การให้อำนาจผูกขาดอย่างสมบูรณ์แก่ผู้คิดค้นนวัตกรรม
มีข้อเสียคือ
ทำให้ผู้บริโภคต้องซื้อสินค้าและบริการในราคาที่สูงมาก
รวมทั้งอาจไม่ได้รับสินค้าและบริการที่มีคุณภาพอย่างที่ควรจะเป็นเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดที่มีการแข่งขัน
ผู้บริโภคจึงไม่มีทางเลือกในการบริโภค
เพราะต้องซื้อสินค้าและบริการจากผู้ผลิตรายเดียว
กรณีดังกล่าว
นำมาสู่คำถามที่ว่า
มีวิธีอื่นนอกจากการจดสิทธิบัตรหรือไม่
ที่จะทำให้ผู้คิดค้นนวัตกรรมมีแรงจูงใจจากการคิดค้นนวัตกรรม
โดยได้รับผลตอบแทนจากการคิดค้นอย่างคุ้มค่า
แต่ไม่ทำให้ผู้บริโภคเสียประโยชน์จากการไม่สามารถเข้าถึงสินค้าและบริการที่เกิดจากนวัตกรรมดังกล่าวได้
แนวคิดหนึ่งที่ผมขอนำเสนอ
คือ
การทำให้นวัตกรรมเป็นสินค้าสาธารณะ
โดยที่รัฐบาลเข้ามาแทรกแซงเพื่อชดเชยให้กับผู้ที่คิดค้นนวัตกรรม
เนื่องจากผู้ที่คิดค้นนวัตกรรมได้สร้างประโยชน์ให้กับสังคม
แต่กลับเป็นผู้ที่แบกรับต้นทุนไว้เอง
รูปธรรมของแนวคิดนี้
คือ
การที่รัฐบาลร่วมลงทุนกับผู้คิดค้นนวัตกรรม
หรือซื้อองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากผู้คิดค้นนวัตกรรม
โดย
รัฐจ่ายเงินให้กับผู้ที่สามารถคิดค้น
นวัตกรรมได้
แล้ว
ขายหรือให้สิทธิในการผลิตแก่ภาคเอกชน
หลายราย
เพื่อให้เกิดการแข่งขันกันผลิตสินค้าดังกล่าว
ส่วนรัฐบาลจะมีรายได้กลับคืนจากภาษีนิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บจากการผลิตและขายสินค้าดังกล่าว
อีกวิธีการหนึ่งในการแก้ปัญหาการผูกขาดทางการค้า
คือ
การอนุญาตให้มีการแข่งขันผลิตสินค้าเลียนแบบนวัตกรรมได้อย่างเสรี
แต่
รัฐบาล
จะต้อง
มีส่วนเข้ามาแทรกแซงผ่านการเก็บภาษีพิเศษ
จากผู้ผลิตที่ผลิตสินค้าเลียนแบบ
และ
นำเงินภาษีส่วนนี้มาชดเชย
ให้กับ
ผู้ที่คิดค้น
นวัตกรรมนั้น
โดยรัฐบาลจะเป็นผู้กำหนดว่าจะเก็บอัตราภาษีร้อยละเท่าไรของราคาสินค้าและบริการ
และเก็บเป็นจำนวนกี่ปี
โดยพิจารณาจากต้นทุนในการคิดค้นนวัตกรรม
และประโยชน์ที่สังคมได้รับ
วิธีการดังกล่าวทำ
ให้ราคาสินค้าและบริการไม่สูงเท่ากับกรณีที่มีการผูกขาด
โดยผู้ผลิตรายเดียว
ทำให้ประชาชนสามารถ
เข้าถึงนวัตกรรมได้มากขึ้น
ขณะที่จำนวนผู้ผลิตที่มากรายจะจูงใจให้ผู้ผลิตปรับปรุงประสิทธิภาพ
และพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการให้ดีขึ้น
เพื่อให้สามารถแข่งขันได้
ในขณะที่ผู้สร้างนวัตกรรมได้รับผลตอบแทนกลับคืนจากการคิดค้นด้วย
แต่เงื่อนไขความสำเร็จของวิธีการนี้คือ
การกำหนดกลไกการจ่ายผลตอบแทนแก่ผู้คิดค้นนวัตกรรมในระดับที่เหมาะสม
แนวคิดดังกล่าวเป็นหนึ่งทางออกในการแก้ปัญหาการผูกขาดทางการค้าจากการจดสิทธิบัตร
โดยในจดหมายข่าวฉบับหน้า
ผมจะขอกล่าวถึงแนวคิดอื่น
ๆ
ที่จะเป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาดังกล่าวเพิ่มเติม
|