เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ในปัจจุบันระบบสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่พัฒนาไปอย่างมาก
ทำให้อัตราการตายของประชากรลดลง
และควบคุมอัตราการเกิดได้มากขึ้นผ่านการวางแผนครอบครัว
ประกอบกับค่านิยมการครองโสดที่นานขึ้นและไม่นิยมมีบุตรหลังชีวิตสมรส
ล้วนเป็นเหตุผลที่ทำให้ประเทศไม่มีประชากรรุ่นใหม่
ๆ
เกิดขึ้นมาทดแทนประชากรรุ่นเก่าที่กำลังเข้าสู่วัยชราในสัดส่วนที่เหมาะสม
โครงสร้างประชากรของไทยจึงกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมผู้สูงอายุ
ปัญหาของการก้าวเข้าสู่ยุคผู้สูงอายุไม่ได้อยู่ที่สัดส่วนของผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้นแต่อยู่ที่สัดส่วนเงินออมสำหรับวัยเกษียณอายุที่มีแนวโน้มลดลงจนไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพในอนาคต
จากการศึกษาเฉพาะแรงงานในระบบของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า
ประชาชนมีเงินออมไม่มากเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในบั้นปลายของชีวิต
แม้ว่าจะมีระบบประกันสังคมและระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้วก็ตาม
และยังมีแรงงานอีกจำนวนไม่น้อยที่ทำงานส่วนตัวหรือประกอบอาชีพอิสระที่ยังไม่มีระบบการออมมารองรับ
จึงอาจเป็นสาเหตุทำให้คุณภาพชีวิตของประชากรหลังวัยเกษียณจะตกต่ำมากจนน่าเป็นห่วง
และจะกลายเป็นภาระหนักของสังคมในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผมคิดว่าการออมเป็นสิ่งสำคัญต่อการดำเนินชีวิตในอนาคตผมจึงขอเสนอว่ารัฐบาลควรให้ความจริงจังในการส่งเสริมการออมเพื่อสร้างความมั่นคงแก่ประชากรของสังคมในวัยเกษียณ
โดยมีมาตรการดังนี้
รัฐบาลควรมีนโยบายการออมภาคบังคับมากขึ้น
เช่น
การออกมาตรการบังคับให้เจ้าของกิจการที่มีพนักงานหรือลูกจ้างเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและสามารถโอนย้ายกองทุนดังกล่าวไปในที่ทำงานใหม่ได้โดยไม่ต้องออกจากกองทุนเดิม
รวมทั้งเพิ่มอัตราเงินออมภาคบังคับให้มีเงินออมเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในยามชราภาพ
เป็นต้น
รัฐบาลควรปรับปรุงระบบกองทุนต่าง
ๆ
ให้เกิดความยั่งยืน
ได้แก่
กองทุนบำเหน็จบำนาญและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
และส่งเสริมให้เกิดการออมเพื่อการเกษียณอายุมากขึ้น
โดยผ่านช่องทางแบบบังคับและแบบสมัครใจ
ตลอดจนจัดตั้งกองทุนเพื่อการเกษียณอายุเพิ่มเติมเพื่อทำให้สามารถรองรับความต้องการออมเพื่อชราภาพอย่างเพียงพอ
รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการออมเพื่อการเกษียณอายุในกลุ่มแรงงานนอกระบบ
เพื่อลดภาระของรัฐบาลในการดูแลคนชราในระยะยาว
รัฐบาลควรสร้างระบบเงินออมชราภาพของผู้ที่ขาดความสามารถในการออม
เช่น
คนด้อยโอกาส
คนยากคนจน
ผู้มีรายได้น้อย
เป็นต้น
โดยอาจจัดสรรงบประมาณไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับผู้ที่ขาดความสามารถในการออม
การจัดเก็บภาษีทรัพย์สินจากผู้ที่มีฐานะ
เช่น
ภาษีมรดก
ภาษีที่ดิน
ภาษีรายได้ทรัพย์สิน
เป็นต้น
หรือใช้มาตรการทางภาษีจูงใจให้ผู้มีฐานะบริจาคเงินเข้ากองทุน
เพื่อใช้สำหรับการดำรงชีพของคนชราที่มีฐานะยากจน
การออมเพื่ออนาคตในวัยชราจึงเป็นสิ่งสำคัญ
โดยที่รัฐบาลต้องเริ่มต้นทำให้เกิดการออมภาคบังคับโดยเร็วตั้งแต่เวลานี้
เพื่อป้องกันวิกฤตสังคมคนชรา
และสร้างหลักประกันที่มั่นคงแก่ผู้สูงอายุต่อไป
|