เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
เมื่อวันที่
27
ธันวาคม
2549
สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้พิจารณา
ร่างพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ
ทั้งนี้ในที่ประชุมได้มีการอภิปรายอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในมาตรา
10
ที่ระบุว่า
“บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณะสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต…”
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าสิทธิที่ไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณะสุขไม่ได้หมายถึง
การขอให้แพทย์ฆ่าตนเองให้ตาย
(การุณยฆาต)
ซึ่งเรื่องนี้กำลังเป็นประเด็นถกเถียงในหลายประเทศว่า
คนไข้หรือญาติของคนไข้นั้นมีสิทธิหรือไม่ที่จะตัดสินใจที่จะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป
โดยสามารถขอให้แพทย์ฉีดยาหรือทำวิธีการใด
ๆ
ก็ตามที่จะทำให้ตนเองตายอย่างไร้ความทรมาน
สำหรับประเด็นการอนุญาตให้คนไข้สามารถปฏิเสธที่จะรับการรักษา
หากเป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต
ผมคิดว่าประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องมีความละเอียดอ่อนมากและผมยังไม่เห็นด้วยกับการให้สิทธิดังกล่าวแก่หมอและคนไข้
ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
แพทย์แต่ละคนมีมาตรฐานการวินิจฉัยไม่เหมือนกัน
เนื้อหาในร่างกฎหมายดังกล่าวยังมีความไม่ชัดเจนว่า
ใครคือผู้อำนาจในการวินิจฉัยว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หาย
และอะไรคือจุดที่ตัดสินว่าเป็นวาระสุดท้ายของชีวิต
เนื่องจากแพทย์แต่ละคนมีความสามารถหรือความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคที่แตกต่างกันไป
ซึ่งขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความรู้ที่เรียนมา
ด้วยเหตุนี้การวินิจฉัยของแพทย์แต่ละคนจึงมีความแตกต่างกัน
ในบางครั้งเราอาจได้ยินข่าวหรือเห็นตัวอย่างคนไข้ที่เข้าไปรับการรักษาในโรงพยาบาลหนึ่งแต่ไม่หาย
และหมออาจจะบอกว่าไม่มีทางรอดและให้คนไข้ทำใจ
แต่หลังจากย้ายโรงพยาบาลหรือเปลี่ยนหมอ
คนไข้กลับหายจากโรคและรอดตาย
ผมเกรงความรู้ของแพทย์ที่ไม่สมบูรณ์อาจทำให้คนไข้หลายคนตัดสินใจผิดพลาด
โดยไม่ยอมรับการรักษา
เพราะอาจเชื่อฟังคำพูดของหมอว่าการรักษาเป็นเพียงการยืดเวลาตายออกไปเท่านั้น
แต่หมอท่านอื่นอาจมีความสามารถและวิธีการที่รักษาให้หายได้
เทคโนโลยีการรักษามีการพัฒนารวดเร็ว
กฎหมายดังกล่าวอาจละเลยประเด็นเรื่องความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ซึ่งปัจจุบัเทคโนโลยีมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วจนเราอาจคิดไม่ถึง
โรคที่ยังไม่สามารถรักษาหายได้ในปัจจุบัน
อาจจะมีเทคโนโลยีที่สามารถรักษาให้หายได้ในอนาคต
ดังตัวอย่างของวัณโรคซึ่งครั้งหนึ่งในอดีตได้คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมหาศาล
จนหลายคนคิดว่าโรคนี้ไม่มีทางรักษาได้
คนที่เป็นโรคนี้ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น!
แต่ในที่สุดได้มีผู้ค้นพบวิธีการรักษาวัณโรคให้หายได้
เช่นเดียวกับโรคเอดส์
ที่ปัจจุบันยังไม่มียาที่รักษาให้หายขาดได้
หรืออีกกรณีหนึ่งคือ
คนที่กลายเป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชายนิทรา
ซึ่งในปัจจุบันเชื่อกันว่าไม่มีทางรักษาให้หายได้
หากแพทย์ถอดเครื่องช่วยหายใจออก
คนไข้จะเสียชีวิตทันที
แต่คำถามคือ
เราแน่ใจได้อย่างไรว่า
ในอนาคตจะไม่มีการคิดค้นวิธีรักษาให้หายได้
คนไข้ไม่มีความสามารถในการตัดสินใจได้ดีพอ
ผมไม่เชื่อว่าคนไข้ที่ป่วยหนักอยู่ประกอบกับไม่มีความรู้ทางการแพทย์จะอยู่ในสภาวะที่สามารถตัดสินใจได้ดีที่สุด
ดังนั้นกฎหมายไม่ควรจะให้คนไข้ตัดสินใจ
เพราะคนไข้ที่ใกล้ตายมักจะอยู่ในความทุกข์ทรมานมาก
จึงมีความเสี่ยงที่จะตัดสินใจอย่างไม่ถูกต้อง
โดยใช้อารมณ์ความรู้สึก
บางคนอาจจะแย้งว่าบางประเทศอนุญาตให้คนป่วยทำหนังสือแสดงความประสงค์ไว้ก่อล่วงหน้า
ในขณะที่ยังไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายกับตัวเอง
หรือยังมีอาการป่วยไม่รุนแรงมาก
แล้วหากวันหนึ่งวันใดที่ตัวเองนอนป่วยอาการหนักหรือเป็นโรคร้ายแรง
ญาติพี่น้องอาจจะนำหนังสือดังกล่าวนั้นแสดงให้แพทย์ได้ทราบว่า
คนไข้ไม่ต้องการรับการรักษา
การอนุญาตให้คนไข้ตัดสินใจเช่นนี้
ยังคงเป็นการตัดสินใจโดยมีข้อมูลและความรู้ที่ไม่ครบถ้วน
เพราะคนไข้ไม่รู้ว่าจะมีเทคโนโลยีที่สามารถรักษาโรคให้หายได้ในอนาคตหรือไม่
และไม่มีความรู้เรื่องการแพทย์ดีพอ
ก่อให้เกิดความเสียหายต่อศีลธรรมในสังคม
ผมเห็นว่ากฎหมายข้อนี้ยังมีช่องว่างมากและหมิ่นเหม่ต่อศีลธรรม
การให้คนไข้ปฏิเสธไม่รับการรักษาไม่แตกต่างจากการอนุญาตให้คนไข้ตัดสินฆ่าตัวตายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
เพียงแต่ผู้เป็นแพทย์ไม่ใช่ผู้ที่ลงมือกระทำเท่านั้นเอง
เพราะแพทย์ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าหากคนไข้ไม่ยอมให้รักษาเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
แต่การรับรักษาต่อไปอาจทำให้คนไข้มีโอกาสรอด
หรืออย่างน้อยอาจจะยืดอายุเพื่อรอการพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาใหม่
ๆ
กฎหมายดังกล่าวอาจทำให้จริยธรรมของแพทย์เสียหายได้ในอนาคตหากแพทย์เห็นว่าคนไข้อาการหนักอาจเลี่ยงไม่ใช้พยายามรักษาคนไข้อย่างเต็มความสามารถ
หรือคนไข้ที่อยู่ในโครงการรักษาฟรี
แพทย์อาจจะพยายามลดค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาล
โดยการวินิจฉัยว่าไม่มีโอกาสกาสรอด
ประการสำคัญ
หากกฎหมายดังกล่าวถูกประกาศใช้
จะทำให้มาตรฐานทางศีลธรรมของสังคมเริ่มเสื่อมลง
โดยกฎหมายฉบับนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้คนในสังคมเริ่มยอมรับการฆ่าตัวตายโดยการอ้างเหตุผลความจำเป็นต่าง
ๆ
มากขึ้น
และในที่สุดจะนำไปสู่การยอมรับการกระทำที่มีน้ำหนักความรุนแรงต่อศีลธรรมมากขึ้นเรื่อย
ๆ
ไม่ว่าจะเป็นการทำแท้ง
การุณ์ยฆาต
เป็นต้น
สภานิติบัญญัติแห่งชาติจำเป็นต้องคิดให้จงหนักและรอบคอบ
เพราะกฎหมายฉบับนี้อาจกลายเป็นใบอนุญาตฆ่าชีวิตคนเพราะความไม่รู้หรือไม่ได้ตั้งใจ
|