ปัจจุบันผู้ประกอบการส่งออกของไทย
อาทิ
กลุ่มธุรกิจการเกษตร
สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
รองเท้า
เครื่องหนัง
เฟอร์นิเจอร์
ยานยนต์และชิ้นส่วน
เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเลคทรอนิคส์
อาหาร
รวมทั้งผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม
ต่างได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่าร้อยละ12
หากวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า
ผมเห็นว่ามาจากปัจจัยด้านอุปสงค์และอุปทาน
(Demand
and
Supply)
ของค่าเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐ
โดยปัจจุบันตลาดเงินตราต่างประเทศทั้งในและระหว่างประเทศมีความต้องการซื้อเงินบาทมากกว่าความต้องการขาย
ตรงข้ามกับค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐที่ตลาดมีความต้องการขายมากกว่า
ทั้งนี้ผมประเมินว่าการที่เงินบาทมีความต้องการสูงในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐมาจากสาเหตุ
ดังนี้
ประการแรก…ภาวะความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลก
(Global
Imbalance)
สาเหตุหลักของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเกิดจากปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจของสหรัฐที่อยู่ในภาวะขาดดุลแฝดต่อเนื่อง
กล่าวคือ
มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและขาดดุลงบประมาณจำนวนมาก
ปัญหาดังกล่าวทำให้ความเชื่อมั่นที่มีต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐลดลง
ค่าเงินดอลลาร์จึงอ่อนค่าและถูกเทขายอย่างต่อเนื่อง
โดยนับตั้งแต่ปี
2545
ถึงปัจจุบันเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงแล้วกว่าร้อยละ
23
เมื่อเงินดอลลาร์อ่อนค่าจึงทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นโดยเปรียบเทียบ
ประการที่สอง…กระแสเงินทุนไหลเข้าไทยและภูมิภาคเอเชีย
เงินบาทแข็งค่าตามค่าเงินในเอเชียที่แข็งค่าต่อเนื่อง
เพราะกระแสเงินทุนไหลเข้าจากประเทศที่ขาดดุล
โดยเฉพาะจากสหรัฐไปสู่ประเทศที่เกินดุลในภูมิภาคเอเชีย
โดยเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ทำให้มีกระแสเงินทุนไหลเข้าไทยอย่างต่อเนื่องทั้งตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร
โดยในเดือนกรกฎาคม
2549
มีเงินทุนเข้าไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ
12.1
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ไหลเข้ามาในเอเชียเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ
4.9
ประการที่สาม…ต่างชาติเก็งกำไรค่าเงินบาท
เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าเร็วกว่าพื้นฐานเศรษฐกิจ
ทำให้ต่างชาติหาช่องเก็งกำไรโดยใช้วิธีนำเงินดอลลาร์เข้ามาซื้อเงินบาทเพื่อซื้อพันธบัตรที่ธนาคารพาณิชย์ถืออยู่ในช่วงสั้น
ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นและราคาพันธบัตรสูงขึ้น
แล้วจึงขายพันธบัตรและขายเงินบาทเพื่อทำกำไร
ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงและราคาพันธบัตรต่ำลง
หลังจากนั้นนักเก็งกำไรจะนำเงินกลับเข้ามาลงทุนใหม่อีกหลายรอบ
(Sell-Buyback)
ซึ่งวิธีการเข้ามาซื้อพันธบัตรเป็นการหาช่องว่างจากกฎของธนาคารแห่งประเทศไทยที่จำกัดวงเงินบัญชีของผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ
(Non-residence)
ประการที่สี่…การขยายตัวของการส่งออก
ประเทศไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง
3
ไตรมาสที่ผ่านมา
โดยมีมูลค่าการเกินดุลฯรวม
2.8
พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ปี
2548
ขาดดุล
3,700
ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เนื่องจากภาคส่งออกขยายตัวในช่วง
9
เดือนแรกของปี
2549
ถึงร้อยละ
16.7
มีมูลค่าส่งออกรวมกว่า
95,616.8
ล้านดอลลาร์
ทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นเป็น
6.3
หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้เงินบาทแข็งค่ามากขึ้น
ภาวะเงินบาทแข็งค่าดังกล่าว
ทำให้ผมกังวลถึงผลกระทบต่อผู้ส่งออก
โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบในประเทศจะได้รับผลกระทบมาก
เช่น
กลุ่มผู้ประกอบการที่มีส่วนต่างระหว่างต้นทุนกับผลกำไรไม่สูง
กลุ่มธุรกิจที่ผลิตเพื่อขายตลาดต่างประเทศในสัดส่วนที่สูงหรือมีรายรับส่วนใหญ่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์
รวมถึงผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร
เป็นต้น
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานสูงอาจต้องปลดพนักงานบางส่วนหรือชะลอการจ้างงาน
ชะลอหรือหยุดการผลิต
ปัจจุบันมีผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยต้องชะลอคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ
เพราะไม่สามารถส่งสินค้าในราคาที่ลูกค้าต้องการได้เนื่องจากความผันผวนของค่าเงิน
เมื่อพิจารณาข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ
พบว่ามีทั้งการขอผ่อนคลายมาตรการทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย
และมาตรการอุดหนุนเพื่อลดผลกระทบ
เช่น
มาตรการภาษี
การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
รวมถึงการขอให้ภาครัฐดูแลไม่ให้เงินบาทแข็งค่าเกินกว่าร้อยละ
1-2
ซึ่งเป็นระดับที่ผู้ส่งออกสามารถยอมรับได้
ในทัศนะของผมเห็นว่าแนวโน้มเงินบาทจะมีทิศทางแข็งค่าต่อไปในปี
2550
จากกระแสเงินทุนไหลเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยสำคัญมาจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ
โดยทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในระยะยาวจะอ่อนค่าลงสม่ำเสมอ
เพราะเศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญความเสี่ยง
2
ประการคือประเทศต่าง
ๆ
ในโลกอาจจะลดหรือละทิ้งสินทรัพย์สกุลดอลลาร์จำนวนมาก
และสหรัฐจะยังคงเผชิญปัญหาขาดดุลการค้าต่อไป
โดยเฉพาะกับจีน
ทั้งนี้ผมประเมินว่าเงินบาทในปี
2550
จะแข็งค่าขึ้นกว่าปีนี้ประมาณ
1-1.5
บาท
อยู่ระหว่าง
35-36
บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตามการกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่าจะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ
โดยการดำเนินมาตรการดูแลค่าเงินบาทไม่ให้เข้มงวดจนส่งผลกระทบต่อภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
ซึ่งจะทำให้ขาดความยืดหยุ่นในการนำเงินเข้ามาลงทุนที่ไม่ได้หวังเก็งกำไรในระยะสั้น
โดยธนาคารแห่งประเทศไทยควรดำเนินมาตรการดูแลไม่ให้ค่าเงินผันผวนมากเกินไป
และดำเนินมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เช่น
ควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการเก็บภาษีเงินทุนระยะสั้นมาบังคับใช้
เป็นต้น
ผมเห็นว่าไทยควรมีมาตรการแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่าที่มีความสมดุลและยั่งยืน
โดยกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาทั้งในกรอบระยะสั้น
ปานกลาง
และระยะยาว
เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถแข่งขันภายใต้ระบบเศรษฐกิจโลกได้อย่างแท้จริง
ซึ่งผมจะขอนำเสนอในโอกาสต่อไป