จากการพิจารณารายงานประจำปี 2547
ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
หรือ
SME Bank
ซึ่งระบุว่าธนาคารได้รับการคัดเลือกให้เป็น ธนาคารดีเด่นแห่งปี 2547
จากนิตยสารดอกเบี้ย และมูดี้ส์ฯจัดอันดับธนาคารและตราสารหนี้ระยะยาวที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศและตราสารหนี้ระยะสั้น
ว่าเป็นอันดับความน่าเชื่อถือที่ดี
ผมมั่นใจว่า
รางวัลที่
SME
Bank
ได้รับเป็นฝีมือของผู้บริหารและพนักงานล้วนๆ
แต่น่าจะทำได้ดียิ่งกว่านี้อีก หากไม่ถูกฉุดรั้งด้วยนโยบายของรัฐบาล
ซึ่งกลายเป็นจุดบกพร่องในผลการดำเนินงาน อาจทำให้ไม่เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด
หรือทำให้ธนาคารเสียหายได้ แม้ผู้บริหารและพนักงานทำงานอย่างดีที่สุดแล้วก็ตาม
ประการแรก
นโยบายที่สุ่มเสี่ยง นโยบายรัฐบาลได้สร้างความเสี่ยงที่เกินความจำเป็นให้แก่
SME Bank
อาทิ โครงการสินเชื่อ
fast-track
คือ ให้กู้โดยไม่ต้องมีวงเงินค้ำประกัน แต่ใช้เพียงผู้ค้ำประกันเท่านั้น
ทำให้มีโอกาสเบี้ยวหนี้สูงกว่าการใช้หลักทรัพย์ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่
NPL
ของ
SME Bank
จะอยู่ในระดับสูงกว่าสถาบันการเงินอื่นๆ ณ สิ้นปี
2547
มี
NPL
ถึง 22.52%
ของยอดสินเชื่อ หรือสูงขึ้น
70.44%
เมื่อเทียบกับปี
2546
ประการต่อมา
นโยบายที่กระเซ็นกระสาย รัฐบาลให้
SME Bank
รับผิดชอบปล่อยกู้ในโครงการต่าง
ๆ เช่น สินเชื่อ
OTOP
ครัวไทยสู่โลก แก้ไขหนี้ภาคประชาชน เป็นต้น แต่กลับพบว่าแต่ละโครงการมีจำนวนผู้ได้รับสินเชื่อน้อยมาก
และมีวงเงินให้สินเชื่อต่ำกว่าเป้าหมายมาก ทั้งนี้จากทั้งหมด 11 โครงการ
ยกเว้นสินเชื่อปกติและ
fast track
มีการให้สินเชื่อไม่ถึง
1%ของเป้าหมายถึง 10 โครงการ
ประการที่สาม
นโยบายที่ขัดแย้งกันเอง ด้านหนึ่งรัฐบาลสนับสนุน
SME
Bank
โดยให้สินเชื่อให้กับ
SME
แต่อีกด้านหนึ่งรัฐบาลกลับอนุญาติให้ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่มาตั้งใกล้เขตเมืองได้มากขึ้น
ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อกิจการค้าปลีกรายย่อย ซึ่งมีจำนวนถึง 36%
ของ
SME
ทั้งหมด
ถึงแม้ประกาศดังกล่าวจะถูกระงับไปแล้ว แต่กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งเชิงนโยบายของรัฐบาล
แม้ผลการดำเนินงานของ
SME Bank
ได้รับรางวัลมากมาย แต่ผลการดำเนินงานบางส่วนยังซ่อนความล้มเหลว
ไม่ใช่เพราะว่าผู้บริหารไม่มีฝีมือหรือพนักงานไม่เก่ง แต่เป็นผลจากนโยบายที่ฉาบฉวยของรัฐบาลทำให้การทำงานในโครงการต่าง
ๆ อาจได้ผลงานที่ไม่ยั่งยืน