เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ปรากฏการณ์ของการใช้สื่อในช่วงเลือกตั้งได้รับความสนใจจากหลายฝ่าย
และที่ผ่านมามีการเปิดเผยถึงพฤติกรรมการใช้สื่อเพื่อสร้างคะแนนนิยมของพรรคการเมืองอยู่เป็นเนืองๆ
ล่าสุดสำนักวิจัยเอเบคโพล
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
เก็บรวบรวมข้อมูลในช่วงเวลาของการแข่งขันเพื่อชนะการเลือกตั้ง
เรื่อง
“สงครามแย่งชิงเวลาดีของสื่อโทรทัศน์ในการนำเสนอข่าวภาคค่ำและเช้าในกลุ่มพรรคการเมืองต่างๆ”ที่ดำเนินการมาแล้ว2ครั้ง
ผลสำรวจทั้งสองครั้งคล้ายคลึงกันคือ
พรรคไทยรักไทยยังคงครองพื้นที่สื่อโทรทัศน์ทั้งในด้านความถี่และจำนวนเวลาในการนำเสนอ
ตลอดจนเนื้อหาของข่าวนั้น
พรรคไทยรักไทยได้รับการนำเสนอข่าวในทิศทางที่ดีต่อภาพลักษณ์ของพรรคมากกว่าพรรคการเมืองอื่น
ประเด็นที่กล่าวมาข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนการผูกขาดการใช้สื่อของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคไทยรักไทย
โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ที่สามารถเข้าถึงคนส่วนใหญ่ทั้งในเมืองและชนบท
ผ่านการใช้งบฯ
ของหน่วยงานและกระทรวงต่าง
ๆ
ที่ผ่านมาพบว่า
“นับตั้งแต่
พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร
เข้ามาบริหารประเทศ
งบฯ
โฆษณาประชาสัมพันธ์เพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ”
(รวบรวมโดยประชาชาติธุรกิจ
:2548)
หรือ
การใช้ประโยชน์จากข่าวเกี่ยวกับการปฏิบัติภารกิจของรักษาการนายกฯ
และคณะรัฐมนตรี
เพื่อประชาสัมพันธ์นโยบายหาเสียง
ซึ่งเป็นรูปแบบการนำเสนอที่รัฐบาลสามารถเลือกประเด็นเพื่อให้สื่อนำเสนอ
ดังผลที่ปรากฏในงานวิจัยข้างต้น
การประชาสัมพันธ์นโยบายเหล่านี้ล้วนเป็นสีเทา
แล้วแต่มุมมองว่าการกระทำดังกล่าวมีความเหมาะสมหรือไม่
ส่วนหนึ่งอาจมองได้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ในขอบเขตอำนาจของรัฐบาลรักษาการจะกระทำได้
แต่ในอีกด้านหนึ่งจะสังเกตได้ว่า
”ส่วนใหญ่เป็นงบฯ
ที่ใช้ในการสร้างภาพลักษณ์องค์กร
และโครงการต่อเนื่องที่รัฐบาลชุดนี้ริเริ่มไว้”
(ประชาชาติธุรกิจ
:2548)
ซึ่งเสมือนเป็นการเอาเงินภาษีประชาชนทั้งประเทศมาใช้
โดยหวังผลเพียงการประชาสัมพันธ์ผลงานเท่านั้น
นอกจากการเข้ามาควบคุมและใช้ประโยชน์จากสื่อที่มีหน่วยงานรัฐเป็นเจ้าของแล้ว
ในขณะนี้ยังมีความพยายามที่จะสร้าง
“สื่อเทียม”
โดยจาก
“แถลงการณ์ร่วมองค์กรวิชาชีพ
เรื่อง
บทบาทสื่อมวลชนในสถานการณ์ปัจจุบัน”
พบว่า
“มีความพยายามจะสร้างสื่ออื่นที่รัฐไม่ได้ควบคุมอย่างทั่วถึง
อาทิ
สื่อหนังสือพิมพ์
สื่ออินเตอร์เน็ต
และสื่อข้อความสั้น
(SMS)
ซึ่งถือเป็นการสร้าง
“สื่อเทียม”
ที่เครือข่ายนักการเมืองพยายามใช้ประโยชน์สนองตอบเป้าหมายทางการเมืองของตนมากกว่าประโยชน์สาธารณะ
มีความแตกแยกเป็นฝ่ายต่อต้านรัฐบาล
กับฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล
อันเป็นพฤติกรรมที่เคยเกิดขึ้นและนำไปสู่ความรุนแรงในชาติมาแล้วหลายต่อหลายครั้งในอดีต”
รัฐธรรมนูญ
พ.ศ.2540
ได้ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร
โดยไม่ถูกปิดกั้น
หากแต่ขณะนี้พฤติกรรมที่รัฐบาลรักษาการใช้ประโยชน์จากสื่อที่ตนควบคุมได้นั้น
ทำให้ประชาชนถูกจำกัดทางเลือกในการบริโภคข้อมูลข่าวสารที่มีความครบถ้วนและรอบด้าน
แถลงการณ์ร่วมองค์กรวิชาชีพ เรื่อง บทบาทสื่อมวลชนในสถานการณ์ปัจจุบัน
ที่มา : http://www.tja.or.th/modules.php?name=News&file=article&sid=418 (5 กันยายา 2549: 16.19น.)
|