เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ล่าสุดกระทรวงการคลังได้ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี
2548
ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 4.1-4.6
จากเดิมร้อยละ 4.6-5.1
ซึ่งเป็นครั้งที่ 3
ในรอบปี
นอกจากนี้รัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นการออมภาคครัวเรือนให้เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ
2
ของจีดีพีในแต่ละปี หรือ
ประมาณแสนล้านบาทในแต่ละปีเมื่อรวมกับการออมภาคบังคับที่กระทรวงการคลังเร่งให้มีผลบังคับใช้
ปัจจุบันการออมรวมอยู่ในระดับร้อยละ
30-35
ต่อจีดีพี แต่สัดส่วนการออมภาคครัวเรือนลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ
3-4
จากในอดีตที่เคยสูงถึงร้อยละ14.4
เมื่อปี
2532
ส่วนที่เหลือเป็นการออมของภาคเอกชนและภาครัฐ มาตรการกระตุ้นการออมภาคครัวเรือนของรัฐบาลเป็นโจทย์ที่ยากชนิดที่เรียกว่าหินที่สุด
ด้วยเหตุที่
คนฝากเงินไม่มีแรงกระตุ้นให้ออม เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อไม่มีทีท่าว่าลดลง
โดยตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ร้อยละ
5.3
และเดือนสิงหาคมขยับขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 5.6
ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ยังทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ
0.75
และเงินฝากประจำ 3
และ
6
เดือน
อยู่ที่ร้อยละ 1
แม้ว่าอัตราดอกเบี้ย RP 14
วัน ร้อยละ
2.75
ก็ตามแต่ธนาคารพาณิชย์ยังไม่ขยับดอกเบี้ยขึ้นตาม
นอกจากนี้
ครัวเรือนที่เป็นหนี้จะมีรายจ่ายชำระหนี้เพิ่มขึ้น
เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
โดยล่าสุดในปี
2547
ครัวเรือนไทยมีหนี้เฉลี่ย 103,940
บาทต่อครัวเรือน สามารถคำนวณอย่างง่าย ๆ ว่า หากดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นร้อยละ
1
รายจ่ายจะเพิ่มขึ้นอีก 1,039
บาท
ดังนั้นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพียงเล็กน้อยจะกระตุ้นการออมได้ไม่มากนัก
เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลบอัตราเงินเฟ้อยังติดลบ
หรืออัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังติดลบ
ปัจจัยการออมที่สำคัญที่สุดคือรายได้ แม้รัฐบาลได้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มเงินเดือนข้าราชการ
แต่มาตรการดังกล่าวจะยิ่งซ้ำเติมเงินเฟ้อให้สูงขึ้นไปอีก
ดังนั้นผลกระทบของเงินเฟ้อจึงหักล้างกับรายได้ที่เป็นตัวเงิน
การขึ้นค่าจ้างจึงแทบไม่มีผลต่อรายได้ที่แท้จริง
ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลควรระวัง คือ อัตราเงินเฟ้อต้องควบคุมไม่ให้สูงจนเป็นอันตราย
และควบคุมการก่อหนี้ภาคครัวเรือนไม่ให้ขยายเพิ่มขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่
โดยเฉพาะการควบคุมการให้สินเชื่อผ่านบัตรเครดิต
|