เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
จากอีเมล์ครั้งที่ผ่านมา ผมได้แสดงความคิดเห็นว่า
สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ
ซึ่งเป็น วิกฤตที่เกิดจากปัจจัยภายนอกคือราคาน้ำมันและภาวะความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลก
บวกกับปัจจัยภายในคือนโยบายของรัฐบาลเอง
โดยนโยบายหนึ่งที่ผมมีความกังวลมาก คือการเจรจาเปิดเขตการค้าเสรีกับประเทศต่าง
ๆ อย่างรีบเร่ง
ถึงแม้ว่าทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การค้าระหว่างประเทศ
ระบุว่า หากประเทศต่าง ๆ ลดกำแพงภาษีระหว่างกันลงจะทำให้สวัสดิการในแต่ละประเทศดีขึ้น
และระบบเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เนื่องจากแต่ละประเทศผลิตสินค้าที่ตนเองเชี่ยวชาญ ซึ่งผมเห็นด้วยกับทฤษฎีนี้ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงซึ่งปัจจัยต่าง
ๆ ไม่ได้เป็นไปตามข้อสมมติ (assumption) ตามทฤษฎี
การเปิดเสรีทางการค้าอาจไม่ได้ผลตามทฤษฎี
นโยบายเปิดเสรีทางการค้าของรัฐบาล
แม้ว่าในด้านหนึ่งจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจ แต่ประเด็นที่รัฐบาลอาจละเลย
คือผลกระทบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว อาทิ การขาดดุลการค้ากับบางประเทศมากขึ้น
ความเสียหายของผู้ผลิตสินค้าบางประเภททันที และความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว
ผมคิดว่ารัฐบาลไม่ควรนำพาประเทศเดินไปบนความเสี่ยงต่อความยากลำบาก
โดยมีชีวิตคนทั้งประเทศเป็นเดิมพัน
ในทางกลับกันรัฐควรที่จะวางยุทธศาสตร์ของชาติอย่างระมัดระวังมากที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การเตรียมพร้อมให้ประเทศชาติสามารถพึ่งตนเองได้ในยามวิกฤติ
ดังที่ผมได้เคยกล่าวถึงในเรื่อง เศรษฐกิจกระแสกลาง
อันเป็นเศรษฐกิจเสรีที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเองได้ในปัจจัยอยู่รอด
เพื่อเตรียมความพร้อมให้ประเทศสามารถพึ่งตนเองได้ทั้งในยามปกติและยามวิกฤต
โดยในยามปกติประเทศยังคงดำเนินนโยบายเปิดเสรีตามกระแสโลก
บนฐานภาคเศรษฐกิจที่เป็นจุดแกร่งของประเทศ โดยเตรียมความพร้อมและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ภาคการผลิตปัจจัยอยู่รอด
เพื่อให้ผลิตได้พอเพียงตลอดเวลา ส่วนสินค้าอื่น ๆ
ที่มีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบให้เปิดเสรี
แนวคิดเศรษฐกิจกระแสกลางเปรียบเหมือนการทำประกันชีวิตหรือประกันวินาศภัย
ที่ไม่มีใครทราบว่าจะเกิดเมื่อใด
หรือไม่ทราบว่าวิกฤติการณ์จะรุนแรงมากหรือน้อยเพียงใด
การเปิดเสรีโดยเน้นผลประโยชน์ของภาคอุตสาหกรรมและบริการที่ประเทศมีความสามารถในการแข่งขัน
นับเป็นแนวทางที่ถูกต้อง
แต่การละเลยผลกระทบของภาคเกษตรกรรมซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาคที่ผลิตปัจจัยอยู่รอดของประเทศ
เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
เพราะประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่แม้เป็นประเทศอุตสาหกรรม
ล้วนให้ความสำคัญมากกับภาคเกษตร เพื่อรักษาความมั่นคงทางอาหาร
แต่ประเทศไทยซึ่งมีจุดแข็งทางเกษตรกรรม
กลับละเลยการเตรียมความพร้อมของภาคการผลิตนี้ เพื่อรองรับการเปิดเสรีในอนาคต
|