Go www.kriengsak.com

ประวัติ

ครอบครัว

งานวิชาการ

กิจกรรม

Press

Contact us

ค้นหา

 

 ขอเสนออย่างสร้างสรรค์


ความผิด 3 ประการ จากการปราศรัยของทักษิณ
Three misleading points from Taksin’s  Friday Speech

 

6 มีนาคม 2549

 

เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก

จากการปราศรัยของ ฯพณฯ ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2549 ณ ท้องสนามหลวง ซึ่งรักษาการนายกฯ กล่าวไว้ก่อนการปราศรัยว่า เป็นการเปิดใจ และตอบข้อสงสัยในประเด็นคำถามที่คนสงสัย

แต่หากพิจารณาเนื้อหาของคำปราศรัยของรักษาการนายกฯ พบว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ ทั้งเหตุผลของการยุบสภาและการจัดการเลือกตั้งอย่างเร่งรีบ ผลการบริหารเศรษฐกิจ นโยบายของรัฐบาล และการชี้แจงกรณีการขายหุ้นชินคอร์ป ล้วนเป็นข้อมูลที่สาธารณชนได้รับทราบอยู่แล้ว และเป็นข้อมูลที่คุณทักษิณได้เคยชี้แจงผ่านช่องทางต่าง ๆ มาแล้วหลายครั้ง อาทิ การชี้แจงโดยโฆษกประจำตระกูล เว็บไซต์ของบริษัทที่เป็นกิจการของครอบครัวคุณทักษิณ การปราศรัยหาเสียง การชี้แจงและโฆษณาผลงานผ่านทางสื่อวิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์

ประเด็นที่เป็นสิ่งใหม่ที่เกิดจากการปราศรัยของหัวหน้าพรรคไทยรักไทยในครั้งนี้ คือ หนึ่ง การประกาศเดิมพันว่า หากประชาชนเลือกพรรคไทยรักไทยไม่ถึงร้อยละ 50 ของผู้ที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง คุณทักษิณจะไม่เป็นนายกรัฐมนตรี สอง การยืนยันว่าจะให้คนกลางมาแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี บวกลบไม่เกิน 3 เดือน หลังจากนั้นจะยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ และ สาม การแสดงท่าทีว่าจะกลับตัวกลับใจ โดยขอให้อดีตพรรคร่วมฝ่ายค้านลงเลือกตั้ง และขอให้คุณสนธิ ลิ้มทองกุล พลตรีจำลอง ศรีเมือง และคุณเสนาะ เทียนทอง มาพูดคุยกัน

จากคำแถลงและท่าทีของคุณทักษิณ ผมพบว่าคุณทักษิณทำผิดอย่างน้อย 3 ประเด็น ดังนี้

ประเด็นแรก สมมติฐานที่ผิด

การที่รักษาการนายกฯ เดิมพันว่า จะไม่เป็นนายกรัฐมนตรี หากประชาชนเลือกพรรคไทยรักไทยไม่ถึงร้อยละ 50 ของผู้ที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง สะท้อนให้เห็นว่า คุณทักษิณมีสมมติฐานว่า ปัญหาความขัดแย้งของสังคมที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ไม่ได้เกิดจากตัวคุณทักษิณ ซึ่งเป็นสมมติฐานที่ผิด และไม่อาจทำให้ความขัดแย้งคลี่คลายลงได้

เพราะในความเป็นจริง ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เกิดจากปัญหาคุณธรรมและจริยธรรม ตลอดจนข้อสงสัยเกี่ยวกับความผิดทางกฎหมายของคุณทักษิณ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการใช้กลไกตรวจสอบต่าง ๆ กระบวนการตุลาการ รวมทั้งการตอบคำถามและแสดงหลักฐานทุกข้อสงสัยที่ยังมีอยู่

ขณะที่การเลือกตั้งเพื่อให้ประชาชนตัดสินว่า ต้องการให้หัวหน้าพรรคไทยรักไทยเป็นนายกฯ หรือไม่นั้น  การเลือกตั้งไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการตรวจสอบหรือพิพากษา เพราะประชาชนไม่มีอำนาจตัดสินว่าใครบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ การใช้การเลือกตั้งมาฟอกตัว จึงไม่ต่างจากการใช้ “ศาลเตี้ย” หรือใช้ “กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย” ดังที่คุณทักษิณเคยกล่าวหากลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านนายกฯ

ประเด็นที่สอง ท่าทีที่ผิด

การจัดการปราศรัยใหญ่ของรักษาการนายกฯ และพรรคไทยรักไทยในครั้งนี้ แม้จะอ้างว่าเป็นการเปิดใจ และตอบข้อสงสัยในประเด็นคำถามที่คนสงสัย รวมทั้งความพยายามแสดงท่าทียอมถอย ยอมเจรจาของหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แต่จากคำปราศรัยและวิธีการจัดปราศรัย สะท้อนให้เห็นถึงท่าทีแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ซึ่งเป็นท่าทีอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้น

เราจะสังเกตได้จาก ความพยายามจัดปราศรัยด้วยวิธีการเดียวกับการชุมนุมขับไล่นายกฯ ตั้งแต่การเลือกสถานที่จัดปราศรัยที่ท้องสนามหลวง การระดมพลให้มีเป็นจำนวนมากเพื่อประลองกำลังกับกลุ่มผู้ชุมนุมขับไล่นายกฯ การใช้วลี “ทักษิณ สู้สู้” การอ้างอิงสถาบันกษัตริย์ หรือแม้แต่การจบด้วยเพลงสรรเสริญพระบารมี 

ส่วนการอ้างว่า ตนเองยอมถอยสองก้าวนั้นหรือแสดงท่าทีว่าจะกลับตัวกลับใจนั้น เป็นเพียงการแสดงละครอ้อนขอความเห็นใจจากประชาชน เพราะรู้ว่าคนไทยส่วนใหญ่ขี้สงสาร แต่ท่าทีที่แท้จริงนั้น หัวหน้าพรรคไทยรักไทยยังไม่ได้ถอยเลยแม้แต่ก้าวเดียว แต่พยายามเรียกร้องให้คนอื่นถอย โดยพยายามยัดเยียดข้อหาว่าอดีตพรรคร่วมฝ่ายค้านและกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านนายกฯ เป็นพวกไม่รักสันติ ไม่รักประชาธิปไตย และไม่อยู่ในกติกา 

ประเด็นที่สาม ช่วงเวลาที่ผิด

การที่คุณทักษิณสัญญาว่า จะตั้งคนกลางมาแก้ไขรัฐธรรมนูญ และจะยุบสภาเมื่อร่างรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตลอดจนการขอให้อดีตพรรคร่วมฝ่ายค้านลงสมัครเลือกตั้ง และขอให้เพื่อน ๆ มาพูดคุยกันนั้น อาจเป็นข้อเสนอที่สายเกินไป เพราะพรรคฝ่ายค้านได้เคยเสนอไว้ตั้งแต่ก่อนยุบสภาแล้ว และเพื่อน ๆ ของคุณทักษิณเอง ได้พยายามจะพูดคุยกับคุณทักษิณด้วยวิธีต่าง ๆ มานานแล้ว แต่คุณทักษิณไม่ตอบสนอง

หากท่านปรารถนาจะพูดคุยกันด้วยใจจริงแล้ว เหตุใดท่านไม่เคยเปิดใจคุยกับกลุ่มคนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น การไม่ตอบคำถามของคุณสนธิ ที่เริ่มตั้งคำถามมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2548 ไม่ตอบจดหมายของพลตรีจำลอง ที่ยื่นผ่านสื่อเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2549 หรือไม่พูดคุยกับคุณเสนาะ ตั้งแต่การอภิปรายโจมตีรัฐบาลตั้งแต่ปีที่แล้ว ตลอดจนไม่ผลักดันการปฏิรูปการเมืองตั้งแต่ก่อนการยุบสภา และไม่รับสัตยาบรรณ ทั้ง ๆ ที่อดีตพรรคร่วมฝ่ายค้านยอมถอยให้แล้ว แต่กลับปล่อยให้เหตุการณ์ล่วงเลย จนยากเกินกว่าจะแก้ไขแล้ว

การปราศรัยของคุณทักษิณในครั้งนี้ จึงไม่ได้แสดงอาการว่ารักษาการนายกฯ จะกลับตัวกลับใจแต่อย่างใด เพราะท่านยังมีสมมติฐานในใจเช่นเดิมและท่าทีเหมือนเดิม คำปราศรัยดังกล่าวจึงยิ่งทำให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก สถานการณ์ในเวลานี้จึงเปรียบเหมือนการ “ตบหัวแล้วลูบหลัง” ซึ่งไม่มีประโยชน์อันใด หากคุณทักษิณมิได้มีหัวใจที่ใฝ่สันติ